smilepost

จับเสือมือเปล่า

<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhw9lIb1_CSpz4LjqxYQ11u0CdpC1vdFJGtrOEdS2TZe9pdr4Mz6lx4FQ1TahJGg2SLGTYap0V4Cu5GxBEjBYYuApJjSptQonxmT9wB65TL9-coFEejeymWh5TemUGwu76SrnnKwhwGQSU/s1600/index.jpeg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhw9lIb1_CSpz4LjqxYQ11u0CdpC1vdFJGtrOEdS2TZe9pdr4Mz6lx4FQ1TahJGg2SLGTYap0V4Cu5GxBEjBYYuApJjSptQonxmT9wB65TL9-coFEejeymWh5TemUGwu76SrnnKwhwGQSU/s1600/index.jpeg" /></a></div>
จับเสือมือเปล่าคืออะไร ? 
จับเสือมือเปล่าคือคุณได้สิ่งที่คุณต้องการโดยที่คุณไม่ต้องลงเงินหรือลงแรง
อะไรเลย...... แล้วสิ่งที่ต้องใช้ในธุรกิจ คุณจะต้องมีอะไรบ้าง 
ถึงจะจับเสือมือเปล่าได้<br /><br />1. จับเสือมือเปล่าโดยใช้.......เครดิต<br />คุณ
ต้องมีเครดิตที่ดีในการทำธุรกิจ ในระยะยาวถ้าคุณมีการสั่งสินค้าจาก 
Supplier ของคุณ เค้าก็จะสามารถปล่อยเครดิตให้คุณ 
โดยที่คุณสามรถนำของเค้าไปขายก่อนแล้วคุณค่อยเอาเงินมาจ่ายทางSupplier 
ของคุณ การจับเสือมือเปล่าโดยวิธีนี้จำเป็นต้องมีในทุกๆธุรกิจ 
ถ้าคุณเครดิตไม่ดี นอกจากบริษัทคุณจะเสียชื่อเสียงแล้ว 
คุณจะมีสภาพคล่องในการซื้อของน้อยลง เพราะไม่มีใครกล้าขายของให้คุณ 
ในวงการธุรกิจนั้นสำคัญมากๆในเรื่องของคำว่า เครดิต ถ้าเสียแล้ว 
กู้ยากมากครับ แค่ครั้งเดียวก็ไม่ได้นะครับ อันนี้ขอเตือนเลย 
บางเจ้าต้องเปลี่ยนสายธุรกิจไปทำอย่างอื่นเลย<br /><br />2. จับเสือมือเปล่าโดยใช้........เงินคนอื่น<br />อัน
นี้ผมไม่ได้พูดตลกๆนะครับ แต่มันเป็นเรื่องจริงครับ เพราะผมใช้บ่อยมาก 
ถ้าคุณมีออเดอร์จากลูกค้ามา ในกรณีที่คุณพึ่งเริ่มกิจการ 
คุณไม่มีทุนในการเริ่มต้น ลองมองหาคนใกล้ตัวครับ 
คุณก็สามารถเจรจายืมเค้ามาเพื่อลงทุนก่อนได้ครับ 
แล้วก็เเบ่งเปอร์เซนต์ให้เค้าบ้างเพื่ออนาคตเค้าจะให้เรายืมอีก เป็นแบบ 
WIN-WIN ได้ทั้งสองฝ่าย เราได้เงินมาลงทุน + กำไร 
ส่วนผู้ให้ได้ปันผลที่เค้ามีน้ำในลงทุนให้กับเรา แต่มีข้อแม้นะครับ 
คุณต้องเป็นคนมีคุณภาพสูง งานต้องไม่ผิดพลาด 
เพราะมันจะเข้าเรื่องเครดิตทันที ถ้าคุณบริหารงานเสีย 
จะไม่มีใครปล่อยเงินให้คุณมาลงทุนก่อนหรอกครับ<br /><br />บางครั้ง 
ยืมเช้าคืนเย็น หมายความว่าอย่างไร อันนี้ตอนผมเริ่มธุรกิจผมใช้บ่อยครับ 
ในกรณีที่ซื้อของเงินสด และลูกค้าก็จ่ายเราแบบเงินสด 
ผมได้ยืมเงินเพื่อนในตอนเช้าเพื่อซื้อของ และตอนบ่ายก็เอาของไปส่งให้ลูกค้า
 รับเงินสดมา ตอนเย็นก็เอาเงินไปคืนเพื่อน 
พร้อมปันผลที่เค้าให้ผมยืมเป็นค่าสินน้ำใจ 
หรือไม่ก็พาไปเลี้ยงข้าวก็ได้ครับ โดยที่เราโชว์ความมีน้ำใจตอบกลับคืนไป 
เพื่ออะไร....เพื่องวดหน้าเราอาจต้องขอเงินเค้ามาลงทุนอีก<br /><br />3. จับเสือมือเปล่าโดยใช้....เงินลูกค้า<br />ข้อ
นี้คุณต้องมีคำว่า นักขายอยู่ในตัวเอง คุณต้องรู้จักเจรจา 
ให้ลูกค้าของคุณโอนเงินให้คุณมาก่อน แล้วคุณค่อยไปซื้อของมาให้เค้า 
อย่าคิดว่าไม่มีนะครับ เพราะที่ผมโตได้ เพราะกรณีนี้ทั้งนั้นเลยครับ 
แต่คุณต้องมีอะไรบ้าง 1. เครดิต 2. การเจรจา ในส่วนเรื่องของเจรจา 
ต้องมาจากประสบการณ์ของแต่ละคน ผมเป็นคนชอบขายของมาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้น 
คุณต้องฝึกครับ มันไม่ยากครับ ผมทำได้คุณก็ทำได้<br /><br />4.จับเสือมือเปล่าโดยใช้.....เช็ค<br />กร
ณ๊นี้ใช้ได้ตอนที่ลูกค้าของคุณจ่ายคุณเป็นเงินสด 
และคุณจะต้องจ่ายค่าของให้โรงงานภายในวันรับของ 
แต่เมื่อคุณเป็นนามนิติบุคคล หรือบริษัท 
คุณสามารถใช้เช็คในการค้าขายครั้งนี้ได้..ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น
นะครับ....อย่างเช่นคุณนัดลูกค้าส่งของในวันนี้ตอนเย็นและรับเงินสดในตอน
เย็น แต่ตอนเช้าคุณจะต้องไปซื้อของ ผมให้คุณตีเข็คให้คนที่คุณขายของให้ 
และขีดคร่อม เพราะเช็คจะต้องรอเคลียริ่งในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า 
ดังนั้นในตอนเย็น เมื่อคุณรับเงินสดจากลูกค้าแล้ว 
ให้คุณรีบเอาเงินเข้าแบงค์เพื่อที่จะเคลีบเช็คในวันพรุ่งนี้เช้า 
คุณก็จะสามารถเอาเงินลูกค้าไปจ่ายค่าของเลยทันทีดดยที่คุณไม่ต้องลงทุนอะไร
เลย ลงทุนแค่สมอง กับการเจรจาเท่านั้นเอง 
วิธีจำเสือมือเปล่าแบบนี้ต้องมั่นใจ 2 อย่างคือ  1. 
เราต้องมั่นใจว่าสินค้าของเราที่ให้ลูกค้านั้น ถูกเสป๊กหรือไม่ 
ถ้าไม่ถูกเสป๊ก แล้วคุณไม่สามารถเคลียเช็คที่คุณเขียนให้ผุ้ขายของให้คุณได้
 เครดิตคุณเสียทันทีเลยนะครับ 2. 
ลูกค้าของเราจ่ายให้เราเป็นเงินสดอย่างแน่นอน ถ้าลูกค้าเขียนเช็คมา 
ให้รีบโทรไปอายัติเช็ค แล้วโทรไปเจรจากับผู้ขายของคุณอย่างตรงไปตรงมานะครับ
 อย่าปล่อยเลยตามเลย จำไว้ว่า เครดิตต้องรักษา มีปัญหาต้องแก้ไช<br /><br />5.จับเสือมือเปล่าโดยใช้.....การระดมทุน<br />สิ่ง
ที่คุณจะสามารถนำเงินก้อนโตมาได้นั้น คุณต้องรู้จักการระดมทุน 
แล้วมันต้องใช้อะไรบ้าง?? สิ่งที่ต้องใช้คร่าวๆนะครับคือ แผนธุรกิจ 
เขียนให้ดีนะครับอันนี้มีความสำคัญมากๆ ในแผนธุรกิจคุณต้องรัดกุม 
ว่าคุณจะขายอะไร คุณจะขายอย่างไร แล้วเมื่อไหร่มันจะคืนทุน (ROI) Return On
 Investment ในเรื่องแผนธุรกิจ ถ้าคุณไม่มีความรู้ 
คุณควรปรึกษาผู้รู้นะครับ เพราะคุณต้องมี ทีมที่ดี สินค้าที่ดี ระบบที่ดี 
การสื่อสารที่ดี และต้องมีผู้นำที่ดีด้วยครับ 
และที่สำคัญคือเครดิตอย่าให้เสียนะครับ เพราะถ้าคุณมี Black Listอยู่ 
ก็จะไม่มีใครกล้าลงทุนกับคุณหรอกครับ<br /><br />6. จับเสือมือเปล่าโดยใช้.....สมอง<br />ที่
ผมจะพูดคือมันคงมีอีกหลายวิธีนะครับ แต่ สี่ข้อนี้คือที่ผมเจอมา 
ส่วนวิธีการอื่นๆคือการที่คุณใฝ่หาความรู้ สอบถามผู้มีประสบการณ์ 
มันต้องมีอีกหลายวิธีแน่นอนครับที่เรานึกไม่ถึง เพราะในเรื่องธุรกิจ 
มันจะขึ้นอยู่กับ รู้ หรือ ไม่รู้ ด้วยนะครับ 
ข้อมูลในการทำธุรกิจนั้นสำคัญมาก 
แต่ที่สำคัญในการจับเสือมือเปล่าที่เราต้องมีคือ เครดิตครับ "อย่าคิดจะโกง 
ถ้าคิดจะรวย"<br /><br /><br />นอกจากคุณจะต้องมีเครดิตที่ดีแล้ว 
คุณจะต้องหมั่นศึกษา และหาประสบการณ์ในเรื่องของธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ 
โลกเราเปลี่ยนไปทุกวัน ดังนั้นตำราเก่าๆบางเล่มอาจจะเป็นได้แค่ในอดีต 
คุณควรจะต้องมีประสบการณ์ในการค้นหาหนทางสู่ความสำเร็จไว้ด้วย<br />
ที่มา http://imustrich.blogspot.com

จับเสือมือเปล่า

จับเสือมือเปล่าคืออะไร ? จับเสือมือเปล่าคือคุณได้สิ่งที่คุณต้องการโดยที่คุณไม่ต้องลงเงินหรือลงแรง อะไรเลย...... แล้วสิ่งที่ต้องใช้ในธุรกิ...

อ่านเพิ่มเติม »

4 เทคนิคการจับเสือมือเปล่า ในธุรกิจ อีเบย์

<span class="stand" style="color: black; font-weight: normal;">
<br />
</span><br />
<div style="text-align: center;">
<span class="stand" style="color: black; font-weight: normal;"><img alt="" src="http://www.thaifranchisecenter.com/document/mlm/picture/ebey1.jpg" /><br />
 </span></div>
<span class="stand" style="color: black; font-weight: normal;">
<br />
<strong>การจับเสือมือเปล่า ภาษาในทางธุรกิจนั้นคือ 
การลงทุนโดยเราไม่จำเป็นต้องออกค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด 
เหมือนกับการจับแพะชนแกะ แล้วเราก็ได้ค่าคอมมิชชั่น เป็นต้น 
ดังนั้นสำหรับในธุรกิจอีเบย์นั้น ผมก็มีเทคนิคหลักการแบบง่ายๆ 
ซึ่งใช้ทรัพยากรรอบตัวเรา ซึ่งมี 4 เทคนิค โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้</strong><br />
<br />
<strong>วิธีจับเสือมือเปล่าที่ 1: </strong>เราใช้วิธีการเสาะหาสินค้ารอบๆ
บ้านของเรา อาจจะเป็นพระของพ่อ หรือเสื้อผ้าเก่าๆแต่สวยๆของแม่ 
หรือของเล่นเก่าๆของเรา ซึ่งบางอย่างนั้นอาจจะมีอายุ 
และสามารถนำไปขายได้บนอีเบย์<br />
<br />
<strong>วิธีจับเสือมือเปล่าที่ 2:</strong> ใช้เพื่อนๆให้เป็นประโยชน์ 
เช่นเพื่อนๆขายเสื้อผ้าอยู่ หรือทำงานที่ร้านค้าที่ขายเครื่องประดับ 
อาจจะลองให้เพื่อนช่วยคุยเพื่อให้เราเข้าไปถ่ายรูป 
และเมื่อขายได้ก็ค่อยไปซื้อเขา<br />
<br />
<strong>วิธีจับเสือมือเปล่าที่ 3: </strong>ญาติพี่น้องของเรานั้น 
มีใครทำธุรกิจอะไรบ้าง อาจจะสอบถามพ่อแม่ 
ว่าบรรดาเครือญาติของเรานั้นมีใครทำธุรกิจอะไร 
อาจจะมีญาติเราทำเครื่องเงินอยู่ ก็สามารถไปติดต่อคุยกับเขา 
วิธีนี้น่าจะง่าย ดีกว่าเราไปเดินเสาะหาร้านค้าที่เราไม่รู้จัก 
แต่ต้องอธิบายให้เขาให้เข้าใจนะครับว่าเราจะนำสินค้าไปขายที่ไหน 
และมันจะช่วยเหลือทำตลาดให้เขาได้อย่างไร<br />
<br />
<strong>วิธีจับเสือมือเปล่าที่ 4: </strong>ใช้เสื้อผ้าของเราหรือของแฟน 
โดยให้แฟนนั้นเป็นนางแบบถ่ายรูป แล้วนำรูปแฟนคุณที่ใส่เสื้อนั้นไปขาย 
เชื่อไหมครับ มีโอกาสขายออกมากขึ้นทันที เพราะจากที่สังเกต 
เสื้อผ้าที่ตั้งนิ่งๆ กับสินค้าที่นางแบบ 
กลับกลายว่าสินค้าที่มีนางแบบนั้นขายออกได้ดีกว่า<br />
<br />
เป็น อย่างไรบ้างครับ สำหรับบทความนี้บางคนอาจจะมองในธุรกิจอีเบย์ 
เราต้องไปลงทุนซื้อสินค้ามาก่อน 
แต่บางครั้งขุมทรัพย์ดีๆนั้นอาจจะอยู่ในรอบๆตัวคุณก็ได้ครับ<br />
<br />
อ้างอิงจาก ideadek.com</span><br />
<span class="stand" style="color: black; font-weight: normal;">http://www.thaifranchisecenter.com </span>

4 เทคนิคการจับเสือมือเปล่า ในธุรกิจ อีเบย์

การจับเสือมือเปล่า ภาษาในทางธุรกิจนั้นคือ การลงทุนโดยเราไม่จำเป็นต้องออกค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เหมือนกับการจับแพะชนแกะ แล้วเราก็ได...

อ่านเพิ่มเติม »

การใช้และเก็บรักษาเครื่องมือประเภทอื่น ๆ เครื่องยิงตะปูชนิดใช้ลม

<strong>ทักษะการใช้และเก็บรักษาเครื่องมืออื่นประเภทอื่น ๆ</strong> <strong>[เครื่องยิงตะปูชนิดใช้ลม]</strong><br />

<strong>        ปัจจุบันได้มีการนำเครื่องยิงลวดยิงตะปู 
มาใช้กันอย่างแพร่หลาย กับงานยึดตรึงแทนการใช้ค้อน 
หรือเครื่องมือแบบใช้มือชนิดอื่น เครื่องมือเหล่านี้ที่ใช้มือทั้งแบบธรรมดา
 แบบใช้ลม และแบบใช้กระแสไฟฟ้า แต่แบบใช้ลมจะเป็นแบบที่นิยมกันมากที่สุด 
เครื่องมือเหล่านี้จะสามารถช่วยลดแรงงานลง เพิ่มความเร็วในการทำงานขึ้น 
และลดค่าใช้จ่ายลง</strong><br />

<strong>เครื่องยิงตะปู</strong><br />

เครื่องยิงตะปู (nailers) 
ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันจะเป็นแบบลมชนิดใช้งานหนัก 
เครื่องมือตะปูชนิดนี้จะเป็นตะปูที่ติดกันเป็นแผง 
เมื่อต้องการใช้งานจะต้องใส่แผงตะปูนี้เข้าไปในแมกกาซีนของเครื่อง 
สามารถใช้ได้กับตะปูชนิดที่ใช้กับงานทั่วไป (common nail) หรือชนิดหัวกลม 
(finish nail) ตะปูที่ใช้อาจจะเป็นแบบธรรมดาหรือแบบชุบสังกะสีก็ได้ 
แต่หัวตะปูจะต้องเป็นแบบมาตรฐาน 
แต่หัวตะปูรูปตัวทีหรือรูปตัวแอลสามารถที่จะปรับใช้กับหัวขับของเครื่องยิง
ตะปูเครื่องชนิดนี้ได้ดีกว่าแบบอื่นๆ 
เครื่องยิงตะปูแบบนี้ต้องการความดันลมสำหรับการทำงานเพียงเล็กน้อย 
ดังนั้นปั้มลมขนาดเล็กๆ ก็เพียงพอต่อการใช้งานจึงสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย 
การใช้งานของเครื่องยิงตะปูแบบนี้กับงานต่างๆ<br />

http://www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/287/1/pic3/nail-gun/nail-gun5.jpg<br />

<br />

ประเภทของเครื่องยิงตะปูใช้ลม (หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “ปืนลม”)<br />

อ้างอิงที่ : http://www.aor-udomsab-tools.com/article?id=39947&lang=th<br />

เครื่องยิงตะปู...ที่ใช้คู่กับเครื่องปั้มลมมีอยู่2 ชนิดใหญ่ๆนะครับคือ<br />

1. เครื่องที่ใช้กับการยิงไม้<br />
         2. เครื่องที่ใช้กับการยิงคอนกรีต<br />

<br />

<strong>1.  เครื่องยิงตะปูใช้ลม </strong><strong>ใช้กับการยิงไม้</strong><br />

ปืนลม ชนิดนี้ใช้สำหรับยิงไม้ 2 ชิ้นขึ้นไป ให้ติดกัน  
มีให้เลือกใช้หลายแบบ  ตามชนิดของไม้ และวัตถุประสงค์การใช้งาน  
ซึ่งต้องพิจารณาในเรื่องของ “ลูกตะปู” 
ประกอบด้วยปืนลมที่อยู่ในประเภทนี้มีดังนี้<br />

<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <strong>1.1      </strong><strong>ปืนลม รุ่น </strong><strong>F-30  และ  F-50  </strong></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <img alt="" src="http://img.tarad.com/shop/b/brushcutter/img-lib/spd_20120723234129_b.jpg" style="height: 243px; width: 300px;" /></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 http://img.tarad.com/shop/b/brushcutter/img-lib/spd_20120723234129_b.jpg</div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
  </div>
           ใช้กับงาน ยิงโครงไม้  ไม้อัด  ไม้ไผ่  งานกรอบรูป  
เฟอร์นิเจอร์  ตกแต่งภายใน  ยิงฝ้าเพดาน  กระเบื้องแผ่นเรียบ  งานคิ้ว  
บัว  โครงมิเนียมบางๆ ฯลฯ  ใช้กับลูกตะปูแบบขาเดียว  
ที่มีรหัสขึ้นด้วยตัวอักษร F ซึ่งจะมีความยาวตั้งแต่เบอร์  10 15  20  25  
30 ....ถึง 50  ม.ม.  (รุ่น F-30  ใช้กับลูกตะปูที่มีความยาว 10-30 ม.ม.)  
หัวลูกตะปูจะมีความกว้างประมาณ  2  ม.ม.    
เมื่อยิงแล้วหัวตะปูจะฝังลงไปด้วยเหมาะกับงานที่ไม่ต้องการให้เห็นรอยยิง<br />

<br />

<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <strong>1.2      </strong><strong>ปืนลม  รุ่น  </strong><strong>422J </strong></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <strong><img alt="" src="http://www.phantippowertools.com/promotion/IMG_0305.jpg" style="height: 300px; width: 400px;" /> </strong></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 http://www.phantippowertools.com/promotion/IMG_0305.jpg</div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
  </div>
             ใช้กับงาน  หวาย  เบาะหนัง  ส้นรองเท้า  กล่องกระดาษ  ผ้า  
เครื่องหนัง  โครงไม้อัด  ลัง  แปรงปัด  ใช้ลูกตะปูเป็นแบบขาคู่ (U) 
สันลูกกว้าง  4  ม.ม.  จะมีรหัสขึ้นต้นด้วยตัวเลข 4…J  
ซึ่งจะมีความยาวขาตั้งแต่เบอร์  06 ม.ม. -22 ม.ม.  (ความยาวของ ขาตะปู 
จะอยู่ระหว่าง 4...J  เช่น  ลูกตะปูรหัส  406J  หมายถึง ลูกตะปูขาคู่  
สันลูกกว้าง 4  ม.ม.  ขายาว  6  ม.ม.<br />

<br />

<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <strong>1.3      </strong><strong>ปืนลม  รุ่น  </strong><strong>1013J  และ 1022J   </strong></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <img alt="" src="http://b2bthaistorage.blob.core.windows.net/upload/Product/5936/273766/VQ6J4KSD0TBZLNL.jpg" style="height: 312px; width: 340px;" /></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 http://b2bthaistorage.blob.core.windows.net/upload/Product/5936/273766/VQ6J4KSD0TBZLNL.jpg</div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
  </div>
            ใช้กับงานยิงเบาะหนัง  เบาะบุพลาสติก  งานประดับตกแต่ง  
ของเล่นเด็กที่ทำด้วยไม้  โครงไม้ ลัง  ต่อแผ่นไม้  แปรงปัด    
ใช้ลูกตะปูแบบขาคู่ ( U ) สันลูกกว้าง  10  ม.ม.  
รหัสของลูกตะปูจะขึ้นต้นด้วย  10....J  ขึ้นอยู่กับขนาดความยาวขาตะปู   
ขาตะปูจะมีความยาวตั้งแต่เบอร์  04 – 22 ม.ม.  เช่น  1004J  1013J  1019J  
1022J   ลูกตะปูขาคู่   เมื่อยิงไม้แล้วส่วนที่เป็นขา จะฝังอยู่ในไม้  
ส่วนสันตะปูจะคร่อมอยู่บนไม้  มองเห็นเป็นเส้น  กว้างตามขนาดสันแต่ละอัน<br />

<br />

<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <strong>1.4      </strong><strong>ปืนยิงเข็มหมุด  ( </strong><strong>PIN ) </strong></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <img alt="" src="http://www.gison.com.tw/Templates/pic/m/air-needle-scaler-%283800bpm,-3mmx23%29,-pneumatic-pin-derusting-gun_GP-851G.jpg" style="height: 300px; width: 300px;" /></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 http://www.gison.com.tw/Templates/pic/m/air-needle-scaler-(3800bpm,-3mmx23),-pneumatic-pin-derusting-gun_GP-851G.jpg</div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
  </div>
             ใช้กับงาน ยิงงานฝีมือ  ของเล่นไม้  ไม้ไผ่  กรงนก  
ปลอกคอหนัง หรือ พลาสติก  กล่องใส่เครื่องประดับ  ใช้ลูกตะปูขาเดี่ยว  
ชนิดไม่มีหัว  ขนาด 0.6 ม.ม.  มีความยาวตั้งแต่  12  15  18 20  และ 25 
ม.ม.  ขึ้นต้นด้วยคำว่า  PIN 12  -  PIN 25<br />

<br />

<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <strong>1.5      </strong><strong>ปืนลมยิงตะปูม้วน  </strong></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 <img alt="" src="http://img.tarad.com/shop/j/jsrroongruang/img-lib/spd_20101218113001_b.jpg" style="height: 312px; width: 340px;" /></div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 http://img.tarad.com/shop/j/jsrroongruang/img-lib/spd_20101218113001_b.jpg</div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
  </div>
             ใช้ยิงพาเลต  ลักษณะลูกตะปูจะต่อกันเป็นม้วน  หัวตะปูแบนกลม ขนาดใหญ่  มีขนาดตั้งแต่  25 – 65  ม.ม.<br />

<br />

<strong>2.  </strong><strong>เครื่องยิงตะปูใช้ลม </strong><strong>ใช้กับการยิง</strong><strong>คอนกรีต</strong><br />

ปืนลม ชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าชนิดแรก  
สามารถยิงได้ทั้งไม้แข็ง , คอนกรีต และโครงเหล็ก/อลูมิเนียม ที่ไม่หนามาก  
เช่นโครงฝ้าเพดาน  ฉากทีบาร์  กรอบหน้าต่างประตูอลูมิเนียม  ปืนลม 
ชนิดนี้ที่นิยมใช้กันมีอยู่  2  รุ่น  คือ  ปืนยิงคอนกรีตตะปูเล็ก  รุ่น  
FST-50  และปืนยิงคอนกรีตตะปูใหญ่  รุ่น ST-64  
บางยี่ห้อใช้ชื่อรุ่นอย่างอื่น  แต่ให้สังเกตที่ตัวเลขข้างหลัง  
ว่าเป็นรุ่น  50 หรือ 64  ข้อแตกต่างมีดังนี้    <br />

<strong>      2.1  ปืนยิงคอนกรีตตะปูเล็ก  รุ่น  </strong><strong>FST-50   </strong><br />

http://www.thaicarpenter.com/images/catalog_images/1343987058.jpg<br />

<br />

ใช้กับงานยิง  คอนกรีต  ไม้แข็ง  บัว  คิ้ว  กรอบตู้  ลัง  
ฉากทีบาร์  โครงไม้เนื้อ พาเลต  ลูกตะปูจะมีขนาดแกนใหญ่  หัวตะปูกว้าง  3  
ม.ม.  แกนตะปูมีทั้งกลมและเหลี่ยม ขนาด  1.8  ม.ม.  
เมื่อยิงไปแล้วจะมีหัวตะปูโผล่ขึ้นมาให้เห็น  
ลูกตะปูที่ใช้กับปืนลมชนิดนี้  มี 2 แบบ  ถ้ายิงไม้  ใช้ลูกตะปู รหัส  T  
เช่น  T25  T50 ยิงคอนกรีต  ใช้ลูกตะปู  รหัส  FST เช่น  FST-10  FST-50 
(สูงสุด 50 ม.ม.)<br />

<br />

<strong>            2.2  ปืนยิงคอนกรีตตะปูใหญ่  รุ่น  </strong><strong>ST-64   </strong><br />

http://static.weloveshopping.com/shop/wuthardware/mkt_st64.jpg<br />

ใช้ยิงไม้ติดกับคอนกรีต  ไม้แข็ง  บัว  คิ้ว  ไม้เชอร์ร่า  
พาเลต  โครงหลังคา  โครงไม้  บันได  งานตกแต่กภายในบ้าน  ลัง  
กล่องไม้/กระดาษ   ลูกตะปูจะมีขนาดหัวตะปูกว้าง  7  ม.ม.  แกนตะปูกลม  
เส้นผ่าศูนย์กลาง  2.2  ม.ม.  ยิงไม้จะใช้ลูกตะปู รหัส  WT เช่น WT-25  
WT-57 WT-64    ถ้าใช้ยิงคอนกรีต  ลูกตะปูจะมี รหัส ST  เช่น  ST-25  
ST-45  ST-50   (สูงสุด  64 ม.ม.)<br />

<strong>             </strong>ชนิดของปืนลมที่ใช้กันทั่วๆไป    
ก็จะมีประมาณที่กล่าวมานี้ 
ควรทำความรู้จักกับเครื่องมือชนิดนี้ว่ามีแบบไหนบ้าง 
แล้วแต่ละแบบเหมาะกับงานอะไร  
เพื่อจะได้เลือกให้ถูกต้องกับการใช้และความเหมาะสมในลักษณะงาน<br />

<strong>วัสดุ - อุปกรณ์ที่สำคัญในการใช้เครื่องมือยิงตะปูชนิดใช้ลม</strong><br />

<strong>1. ปั๊มลมสำหรับเครื่องยิงตะปูใช้ลม</strong><br />

ปั๊มลม สำหรับต่อกับ กาพ่นสี หรือปืนลมยิงตะปู ที่นิยมใช้โดยทั่วไปแบบปั๊มโรตารี่ ขนาด 50 ลิตร<br />

http://www.108hardware.com/media/catalog/product/cache/1/image/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/h/e/hero-hr-3050.jpg<br />

<br />

วิธีดูแลปั๊มลมให้ใช้งานได้นาน ๆ

http://smr-marine.blogspot.com/2013/06/blog-post_2209.html

ปั๊มลมหรือเครื่องอัดลม คือ อุปกรณ์บีบอัดอากาศจากบรรยากาศ 
เพื่อให้เกิดความดันสูงขึ้น และสามารถนำไปใช้ในรูปแบบหนึ่งของ ”พลังงาน” 
อากาศที่ถูกอัดสามารถนำไปใช้งานได้ดีเสมือนหนึ่งในสามทรัพยากรของโรงงาน 
การใช้งานลมได้รับความนิยมอย่างมากในลักษณะของการนำลมใช้เป็นตัวขับเครื่อง
จักรต่างๆ เช่น ใช้ในงานเป่า งานพ่นสีหรืองานอื่นๆ 
ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะสมและหลากหลายตามความต้องการ 
แต่การที่เราจะนำปั๊มลมมาใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพนั้นจะต้องมีการดูแลรักษา
อย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นปั๊มลมชนิดไหนก็ตาม จะมีวิธีการดูแลรักษาคล้าย ๆ 
กัน คือ<br />

<strong>      1.น้ำมันเครื่อง</strong> 
ต้องทำการเปลี่ยนถ่ายอย่างสมํ่าเสอ 
โดยสังเกตุจากช่องดูน้ำมันเครื่องด้านล่างของลูกสูบ 
น้ำมันต้องอยู่ระดับกลางช่อง จะต้องไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป 
เปลี่ยนถ่ายทุก 6 เดือน หรือทุก 1,000 ชั่วโมงใช้ น้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 
40<br />

<strong>      2.สายพาน </strong>สายพานไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป ต้องมีความการยืดหยุ่น ประมาณ1/2 นิ้ว ถ้าสังเกตุว่ามีการแตกร้าว ควรเปลี่ยนทันที<br />

<strong>      3.กรองอากาศ</strong> ควรนำออกมาเป่าทำความสะอาดอย่างสมํ่าเสมอ ทุก 2 เดือน หรือเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน<br />
 <strong>      4.มอเตอร์</strong> อย่าให้มอเตอร์โดนน้ำและความชื้น 
เช็ดทำความสะอาดไม่ให้มีเศษฝุ่นผงเกาะจนหนาเกินไปเพราะจะส่งผลต่อการระบาย
ความร้อนในตัวมอเตอร์ ส่วนจุดต่อสายไฟต่างๆต้องตรวจดูว่ายึดติดแน่นหรือไม่ 
เพื่อไม่ให้เกิดการ spark ในระหว่างที่มอเตอร์ทำงาน<br />
 <strong>      5.ถังเก็บลม </strong>ถังเก็บลม 
ควรถ่ายน้ำที่ขังอยู่ภายในถังออกทุกๆวัน 
เพื่อป้องกันไม่ให้มีละอองน้ำออกมาในขณะใช้ลมและป้องกันสนิมที่จะเกิดขึ้น
ภายในถังลม และควรวางปั๊มลมให้ห่างจากกำแพงประมาณ 30 
ซ.ม.เพื่อการระบายความร้อนที่ดี<br />

<strong>2. สายลมเครื่องยิงตะปูใช้ลม</strong><br />

http://www.igetweb.com/www/tpinterrubber/gallery/754268.jpg<br />

<div align="center">
 <strong>ตัวอย่างสายลม </strong><strong>PU แบบสปริง พร้อมข้อต่อสวมเร็ว</strong></div>
<table border="1" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;">
 <tbody>
<tr>
   <td style="width: 28.74%;">
    <div align="center">
     รายการ</div>
</td>
   <td style="width: 23.26%;">
    <div align="center">
     ความกว้างรูใน</div>
</td>
   <td style="width: 26.26%;">
    <div align="center">
     ความกว้างรูนอก</div>
</td>
   <td style="width: 21.74%;">
    <div align="center">
     ความยาว/ขด</div>
</td>
  </tr>
<tr>
   <td style="width: 28.74%;">
    
     สายลมขด PU-04<br />

</td>
   <td style="width: 23.26%;">
    <div align="center">
     5.0 มม.</div>
</td>
   <td style="width: 26.26%;">
    <div align="center">
     8.0 มม.</div>
</td>
   <td style="width: 21.74%;">
    <div align="center">
     4 เมตร</div>
</td>
  </tr>
<tr>
   <td style="width: 28.74%;">
    
     สายลมขด PU-06<br />

</td>
   <td style="width: 23.26%;">
    <div align="center">
     5.0 มม.</div>
</td>
   <td style="width: 26.26%;">
    <div align="center">
     8.0 มม.</div>
</td>
   <td style="width: 21.74%;">
    <div align="center">
     6 เมตร</div>
</td>
  </tr>
<tr>
   <td style="width: 28.74%;">
    
     สายลมขด PU-09<br />

</td>
   <td style="width: 23.26%;">
    <div align="center">
     5.0 มม.</div>
</td>
   <td style="width: 26.26%;">
    <div align="center">
     8.0 มม.</div>
</td>
   <td style="width: 21.74%;">
    <div align="center">
     9 เมตร</div>
</td>
  </tr>
<tr>
   <td style="width: 28.74%;">
    
     สายลมขด PU-12<br />

</td>
   <td style="width: 23.26%;">
    <div align="center">
     5.0 มม.</div>
</td>
   <td style="width: 26.26%;">
    <div align="center">
     8.0 มม.</div>
</td>
   <td style="width: 21.74%;">
    <div align="center">
     12 เมตร</div>
</td>
  </tr>
</tbody>
</table>
<br />

<strong>3. ตะปูสำหรับเครื่องยิงตะปูโดยใช้ลม</strong><br />

<br />

<strong>ตะปูปืนลมขาเดี่ยว</strong><br />

http://kingbangkok.com.a18.readyplanet.net/images/catalog_pro_1289293468/f20.jpg<br />

http://euroxfire.files.wordpress.com/2013/06/img_1024.jpg<br />

<br />

<strong>ตะปูปืนลมขาคู่</strong><br />

http://kingbangkok.com.a18.readyplanet.net/images/catalog_pro_1289354407/%C5%D9%A1%B5%D0%BB%D91013.jpg<br />

http://kingbangkok.com.a18.readyplanet.net/images/catalog_pro_1289360003/%B5%D0%BB%D91022J-E.jpg<br />

<br />

<strong>ตะปูปืนลม คอนกรีต</strong><br />

http://img.tarad.com/shop/a/aor-udomsab/img-lib/spd_20110827131115_b.jpg<br />

http://www.thaicarpenter.com/images/catalog_images/1283924621.jpg<br />

<br />

<strong>4. น้ำมันหยอดเครื่องมือลม</strong><br />

http://www.thaicarpenter.com/images/catalog_images/1318509131.jpg<br />

<br />

<strong>วิธีการใช้งานเครื่องยิงตะปูใช้ลม</strong><br />

http://www.thaicarpenter.com/<br />

<br />

<strong>1. หยอดน้ำมันปืนลมก่อนใช้งานทุกครั้ง</strong><br />

ก่อนใช้งานปืมลมทุกครั้ง หยอดน้ำมันปืนลม 2-3 หยดเข้าที่ทางลมเข้า เพื่อยืดอายุการใช้งานของปืนลม<br />

http://www.thaicarpenter.com/images/column_1292636260/IMGA0043.jpg<br />

<br />

<strong>2. เสียบสายลมเข้ากับตัวปืน  ใช้ปั๊มลมไม่เกิน 8 BAR</strong><br />

<ul>
<li>
  ใช้ลมที่แห้งและสะอาดจากปั๊มลม</li>
<li>
  ให้แรงดันลมอยู่ที่ 6-8 Bar (90-120 Psi)</li>
<li>
  ต่อชุดดักน้ำส่งน้ำมันที่ปั๊มลม เพื่อให้ได้ลมที่สะอาดและแรงดันคงที่
  <ul>
<li>
    ถ้าแรงดันลมน้อยกว่า 6 Bar ตะปูจะยิงไม่จม</li>
<li>
    ถ้าแรงดันลมมากกว่า 8 Bar ปืมลมอาจชำรุดและระเบิดได้</li>
</ul>
</li>
</ul>
<img alt="" src="http://www.thaicarpenter.com/images/column_1292636260/IMGA0044.jpg" style="height: 225px; width: 350px;" /><br />

<div style="margin-left: 72.0pt;">
 http://www.thaicarpenter.com/images/column_1292636260/IMGA0044.jpg</div>
<div style="margin-left: 72.0pt;">
  </div>
 <strong>3. การบรรจุตะปูขาเดี่ยว และขาคู่</strong><br />

http://www.thaicarpenter.com/images/column_1292636260/IMGA0048.jpg<br />

<br />

จากรูป 3.1  ใช้มือขวาจับที่ตัวปืน และมือซ้ายปลดล็อคท้ายแล้วเลื่อนรางปืนออกมา<br />

http://www.thaicarpenter.com/images/column_1292636260/IMGA0051.jpg<br />

จากรูป 3.2  ใส่ตะปูในรางปืน ให้ตะปูด้านที่แหลมที่สุดหันไปทางเดียวกับปากปืน ผลักรางปืนเลื่อนกลับที่เดิม<br />

<strong>4. วิธีการยิง</strong><br />

กดปากปืนติดกับชิ้นงานแล้วจึงยิง อย่ายิงโดยปากปืนไม่ติดกับชิ้นงาน เพราะจะยิงตะปูไม่จม และอาจเกิดอันตรายได้<br />
 <br />
 * เพื่อเพิ่มแรงยิง ให้ใช้อีกมือกดที่หัวปืน<br />

* ปืนที่มี SAFETY ที่ปากปืน ให้กดปากปืนกับชิ้นงานจึงจะยิงได้<br />

* ปืนที่มี SAFETY ที่ไกปืน ให้ปลดล็อคก่อน จึงจะใช้งานได้<br />

http://www.thaicarpenter.com/images/column_1292636260/IMGA0049.jpg<br />

<strong>วิธีการยิง</strong> ให้จรดปากปืนที่ชิ้นงาน 
เพื่อที่ตะปูจะได้จมลงชิ้นงานสนิท สำหรับปืนที่มีแรงดันสูงๆ 
เช่นพวกยิงคอนกรีต แนะนำให้เอามืออีกข้างจับที่ปากปืนไว้ 
เพื่อป้องกันแรงดีด<br />

<br />

<div align="center">
 <strong><span style="background-color: yellow;">กฎแห่งความปลอดภัยในการใช้เครื่องมือยึดตรึงด้วยแรงระเบิด</span></strong></div>
<br />

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการใช้<em><strong>เครื่องมืองานช่าง</strong></em>
 คือการใช้ของให้ตรงกับงาน และเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของงาน 
เนื่องจากปืนลมยิงตะปูเมื่อใช้งานแล้วจะค่อนข้างอันตราย 
การใช้งานในแต่ละครั้งควรใช้งานด้วยความระมัดระวัง  มีดังนี้<br />

อ้างอิงที่ : http://www.skills2services.com/<br />

<br />

<div style="margin-left: 21.3pt;">
 1.  ก่อนใช้จะต้องแน่ใจว่าได้ทำความคุ้นเคยกับลักษณะความปลอดภัย 
และข้อจำกัดต่างๆ และได้ฝึกการใช้งานที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์แล้ว 
ขอแนะนำว่าผู้ใช้ทุกคนจะต้องมีประกาศนียบัตรที่ออกให้โดยบริษัทผู้ผลิต
เครื่องมือ 
ซึ่งจะเป็นเครื่องรับประกันได้ว่าผู้ใช้เข้าใจถึงวิธีการใช้งานได้อย่างดี 
มีการแสดงความสามารถในการใช้งานอย่างถูกต้องและปลอดภัย</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 2.  ตรวจสอบเครื่องมือโดยละเอียดก่อนใช้งาน เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเครื่องมืออยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 3.  สวมแว่นตา ถุงมือ หมวกนิรภัย และอุปกรณ์ป้องกัน เครื่องแต่งกายอื่นๆ ทุกครั้งที่ปฏิบัติงาน</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 4.  อย่าพยายามยิงวัสดุยึดตรึงที่มีความแข็งน้อยกว่าพื้นที่ยึดตรึง เช่น 
อิฐหรือกระเบื้อง (glazed brick or tile) เหล็กสปริง (spring steel) 
เหล็กเหนียวหล่อ (cast steel) และเหล็กหล่อ (cast iron) เป็นต้น 
ถ้าสงสัยให้ทดลองยิงดูก่อน ถ้าปลายวัสดุยึดตรึงที่ยิงท่อ (blunted) 
ก็แสดงว่าพื้นที่ยิงแข็งกว่าวัสดุยึดตรึงมาก แต่ถ้าแตกละเอียด (shatter) 
 ก็แสดงว่าพื้นที่ยิงเปราะ (brittle)</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 5.  อย่าใช้เครื่องมือกับเหล็กที่มีความหนาน้อยกว่า 3/16 นิ้ว</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 6.  ยิงวัสดุยึดตรึงให้ห่างจากแนวเชื่อมให้น้อยกว่า 2 นิ้ว 
เนื่องจากแนวเชื่อมจะมีความแข็งสูงเกินกว่าที่วัสดุยึดตรึงใดๆ 
จะแทรกตัวเข้าไปได้</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 7.  ยิงวัสดุยึดตรึงให้ห่างจากขอบของชิ้นงานที่ทำจากเหล็กไม่น้อยกว่า ½ นิ้ว</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 8.  ปฏิบัติตามคำแนะนำในเรื่องความรุนแรงของประจุและขนาดของวัสดุยึดตรึงจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือเท่านั้น</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 9.  ยิงวัสดุยึดตรึงให้ห่างจากขอบของแผ่นคอนกรีตไม่น้อยกว่า 3 นิ้ว การยิงในระยะที่น้อยกว่า 3 นิ้ว อาจทำให้แผ่นคอนกรีตแตกร้าวได้</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 10.  ติดตั้งเครื่องป้องกันอันตรายเสมอกับเครื่องมือแบบความเร็วสูง</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 11.  
ถ้าไม่แน่ใจในความแรงของประจุของกระสุนปืนที่เลือกใช้ว่าถูกต้องหรือไม่ 
ให้ทดลองใช้กระสุนปืนที่มีความแรงอ่อนที่สุดดูก่อน 
แล้วดูการแทรกตัวของวัสดุยึดตรึง  
ถ้าการแทรกตัวไม่ดีก็ค่อยๆเพิ่มความแรงขึ้นจนได้ตามต้องการ</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 12.  อย่าพยายามยิงวัสดุยึดตรึงเข้าไปในรูที่ได้เจาะไว้ล่วงหน้า</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 13.  ปฏิบัติตามคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิตอย่างเคร่งครัดในการใช้เครื่องมือ</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 14.  ให้ถอดกระสุนปืนและวัสดุยึดตรึงออกทุกครั้งเมื่อไม่ใช้เครื่องมือ ทำความสะอาดและเก็บไว้ในที่ๆ เหมาะสมหลังการบริการในแต่ละวัน</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 15.  ก่อนที่จะทำการยิงจะต้องแน่ใจก่อนว่าปากลำกล้องปืนของเครื่องมือกดแน่นและตั้งได้ฉากกับพื้นที่ทำงาน</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
 16.  ปฏิบัติกับเครื่องมือเหมือนกับปฏิบัติกับอาวุธปืน และอย่างเล็งเครื่องมือไปยังบุคคลอื่น</div>
<div style="margin-left: 21.3pt;">
<br /></div>
<strong><img alt="heart" height="20" src="http://www.vcharkarn.com/include/ckeditor/plugins/smiley/images/heart.gif" title="heart" width="20" />ขอบพระคุณทุกแหล่งที่มาซึ่งข้อมูล http://www.vcharkarn.com/vblog/116163/36</strong>

การใช้และเก็บรักษาเครื่องมือประเภทอื่น ๆ เครื่องยิงตะปูชนิดใช้ลม

ทักษะการใช้และเก็บรักษาเครื่องมืออื่นประเภทอื่น ๆ [เครื่องยิงตะปูชนิดใช้ลม] ปัจจุบันได้มีการนำเครื่องยิงลวดยิงตะปู มาใช้กันอ...

อ่านเพิ่มเติม »

การใช้และการเก็บรักษา เครื่องมือประเภทตัด

<strong>เครื่องมือในการตัด</strong><br />

เครื่องมือใน<em>การตัด</em>วัสดุที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี่มีอยู่มากมายหลากหลายชนิด <strong>...</strong> สิ่งสำคัญ ที่ควรใส่ใจ<em>คือ</em> วัสดุเครื่องมือตัดแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร<br />

การเลื่อย เป็นการตัดชิ้นงานที่สูญเสียเนื้อวัสดุ 
ซึ่งผู้ปฏิบัติงานต้องศึกษาและปฏิบัติให้เกิดทักษะในการปฏิบัติงาน 
ในองค์ความรู้ดังนี้ คือ ความหมายของการเลื่อย ส่วนประกอบของเลื่อยมือและ 
การเลือกใช้งาน การบำรุงรักษา 
ตลอดจนเทคนิคในการเลื่อยงานด้วยมือในงานทั้งงานไม้และโลหะ<br />

<strong>        งานเลื่อย</strong> คือ 
การทำให้งานหลุดแยกออกจากกันด้วยการกัดหรือตัดของใบเลื่อยซึ่งมีคมตัดที่มี
รูปร่างคล้ายสิ่วหรือสกัดที่จัดวางเรียงกันเป็นแถว 
เมื่อเราเลื่อยตัดจะเกิดเป็นร่องขึ้นในแนวของการตัดนั้น<br />

<strong>แนะนำชนิดและลักษณะของเลื่อย</strong><br />

ในเรื่องของงานช่างและอุปกรณ์สำหรับตัดวัสดุ 
อาจจะมีเลื่อยอยู่หลาย ๆ ชนิด ทั้งเลื่อยฟันหนู เลื่อยวงเดือน 
หรือเลื่อยอีกหลายๆชนิด 
แต่ว่าสำหรับในเรื่องของงานช่างขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะกับวัสดุอุปกรณ์งานช่าง 
เครื่องมือช่างประเภทเลื่อยที่หลาย ๆ คน ควรที่จะรู้จักก็คือเลื่อยลันดา 
เพราะเราสามารถหาดูได้จากไซด์งานก่อสร้างต่างๆ หรือจะเป็นในบ้านของเรา 
และแทบทุกๆบ้านจะต้องมีเลื่อยชนิดนี้ไว้สำหรับทำการช่างในขั้นต้นอย่างแน่
นอน<br />

1. เลื่อยเหล็ก<br />

<div align="center">
 <img alt="" src="https://www.ktw.co.th/ktwimg/IMAGE/PRODUCT/BIG/STANLEY/15-408.jpg" style="height: 133px; width: 400px;" /></div>
<div align="center">
 https://www.ktw.co.th/ktwimg/IMAGE/PRODUCT/BIG/STANLEY/15-408.jpg</div>
<div align="center">
  </div>
     เลื่อยเหล็กเป็นเลื่อยที่เอาไว้ใช้กับงานเหล็กเป็นหลัก 
หากเราเอาไปใช้เลื่อยไม้ จะเลื่อยได้ช้ามาก เพราะฟันเลื่อยจะไม่ลึก ละเอียด
 ตัวโครงของเลื่อยเหล็กจะทำมากจากเหล็ก แต่มีน้ำหนักเบา 
มีแบบความยาวที่มาตรฐาน และแบบสามารถปรับความยาวได้ตามขนาดของใบเลื่อยได้ 
เลื่อยเหล็กสามารถเปลี่ยนใบเลื่อยได้ 
เวลาใส่ต้องหันปลายฟันเลื่อยชี้ออกนอกตัวผู้เลื่อยเสมอ<br />
 <br />
 <br />
         2. เลื่อยพับขนาดกระเป๋า<br />

เลื่อยพับขนาดกระเป๋าจัดเป็นเลื่อยอเนกประสงค์ที่มีฟันแข็งเป็นพิเศษ 
สามารถตัดได้ทั้งไม้ พลาสติก โลหะ หรือวัสดุอื่น ๆ ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก 
คุณสมบัติพิเศษที่สำคัญของเลื่อยพับขนาดกระเป๋าคือ สามารถพับเก็บไว้ได้ 
ทำให้สามารถพกพาได้สะดวก และยังพกพาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินได้อีกด้วย<br />
 <br />
 <img alt="" src="http://img.tarad.com/shop/b/bargaingears/img-lib/spd_20120704104825_b.jpg" style="height: 244px; width: 300px;" /><br />

http://img.tarad.com/shop/b/bargaingears/img-lib/spd_20120704104825_b.jpg<br />

3. เลื่อยหางหนู<br />

<div align="center">
 <img alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNnJ41XcpDn3ywlsNf37BvxGQGRHK1eTVTR7VaGeSoCECWCYO1UxW-MwaGTZ3zp4Vnw_pPK_YM-UA77ln3w_g0yRibpfUUttXLJdml_LJz8Xlh-7T7lafQHYB6Xc7fzcR8cx70CvHNqmQV/s320/03%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9.jpg" style="height: 95px; width: 320px;" /></div>
<div align="center">
 http://2.bp.blogspot.com/-.jpg</div>
<div align="center">
  </div>
     เลื่อยหางหนูแบ่งได้ตามขนาดของใบเลื่อยอีกหลากหลายขนาด 
สามารถใช้ได้กับงานตัดโค้งทั้งภายใน และภายนอกชิ้นงาน 
หรือใช้สำหรับตัดเจาะผนังยิปซั่มก็ยังได้<br />
 <br />
 <br />
         4. เลื่อยหางหมู<br />

<div align="center">
 <img alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhbjRsqRrysrHphudz9yuGQxZ2VDO2Tgaz5I2Z6UZCy0WLT3kxVhyOZK9Fx-3rop1vIkkJKBdLQ8vUQxkXdLXGUkD2tmQM6mHKRWgRGFYu0dDOy9FjjOf1HrZomTOWXFZZMldf-6o4q4Era/s1600/04%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9.jpg" style="height: 52px; width: 500px;" /></div>
<div align="center">
 http://4.bp.blogspot.com/-ICSlhNv1-og/T8g0kcqJspI/.jpg</div>
<div align="center">
  </div>
     เลื่อยหางหมูมีใบเลื่อยที่ลักษณะใหญ่ที่โค้น และที่ปลายเรียวแหลม 
เลื่อยหางหมูมีความกว้างที่หลากหลายขนาด 
บางรุ่นสามารถถอดเปลี่ยนใบเลื่อยได้ เหมาะสำหรับงานตัดโค้งทั้งภายใน 
และภายนอกชิ้นงาน<br />
 <br />
 <br />
         5. เลื่อยฉลุ<br />

<div align="center">
 <img alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimpdeVW-bcfPbTCEFVltgt9Rieti0qx2d6YT3LgELdIUy5eznZQg9XVkp6n11n2gxyRW1ylV2gdhop9bemM_bTBTcBan8cM9mFcxEbtdJaUpAwWe7XDTMv8Y13t8h11gvD6frxJ2SvoIbz/s320/05%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B8.jpg" style="height: 147px; width: 320px;" /></div>
<div align="center">
 http://1.bp.blogspot.com/.jpg</div>
<div align="center">
  </div>
     เลื่อยฉลุใช้กับงานไม้ เหมาะสำหรับงานตัดโค้ง ทำลวดลาย 
ตัวกรอบเขงอเลื่อยฉลุทำด้วยโลหะ ใบเลื่อยค่อนข้างเล็กมาก มีความอ่อนตัว 
สามารถปรับหมุนได้รอบทิศทาง เลื่อยฉลุมี 2 ชนิดคือ ชนิดคอลึก 
ใช้ตัดเข้าไปในชิ้นงานได้มากกว่า เหมาะสำหรับไม้ที่ไม่หนามากนัก 
มีฟันที่ละเอียด และชนิดคอตื่น เหมาะสำหรับงานฉลุไม้ที่ชิ้นไม่ใหญ่นัก 
มีฟันค่อนข้างละเอียด<br />
 <br />
         6. เลื่อยโครงเหล็กหรือเลื่อยคันศร เหมาะสำหรับการใช้งานหนัก เช่น
 การตัดท่อนไม้ขนาดต่าง ๆ หรือใช้ตัดต้นไม้ 
เลื่อยโครงเหล็กตัวโครงเป็นเหล็กกลวงน้ำหนักเบา 
ใบเลื่อยถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้ใบเลื่อยสามารถตัดได้ทั้ง 2 ทาง<br />

http://www.srithaihardware.com/customer_images/srithaihardware_com_0063_1_3_img_5254.jpg<br />

<br />

7. เลื่อยตัดมุมหรือเลื่อยองศา ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ตัวใบ 
และแท่นเลื่อย ลักษณะของใบเลื่อยจะเหมือนเลื่อยบังตอ 
ส่วนแท่นเลื่อยจะประกอบไปด้วย แป้นบอกองศา โครงจับใบเลื่อย ช่องบังคับใบ 
เลื่อย และแท่นรองรับใช้กับงานเข้ามุมต่อกันให้สนิท เหมาะกับงานตัดคิ้วบัว 
หรือการทำกรอบรูป<br />

http://www.arkarnsin.com/item/NN0140878.jpg<br />

8. เลื่อยลันดา พบเห็นกันบ่อยที่สุด 
เพราะเป็นเครื่องมือช่างพื้นฐานของงานช่างไม้ เลื่อยลันดามีความยาวที่ 14, 
26 เลือกใช้ตามขนาดหน้าตัดของไม้ สามารถแบ่เป็น 3 ชนิด คือ ชนิดฟันตัด 
มีลักษณะฟันที่ค่อนข้างพี่ 
ใช้สำหรับตัดขวางเนื้อไม้เพื่อให้เกิดรอยตัดที่เรียบ ไม่เป็นเสี้ยน 
ชนิดฟันหยาบ จะมีลักษณะฟันที่หยาบ สามารถตัดได้เร็ว 
ใช้สำหรับตัดตามแนวยาวของเนื้อไม้ ซึ่งฟันที่ห่างทำให้เกิดหน้าตัดที่หยาบ 
ความยาวทั่วไปคือ 26 ชนิดฟันอเนกประสงค์ จะมีฟันถี่พอสมควร ความยาว 26 
ใช้งานได้สะดวกทั้งการตัดขวางและการตัดตามแนวยาว<br />

<div style="text-align: center;">
 <img alt="" src="http://www.kosanaland.com/shop/images/stories/virtuemart/product/stanley_20-006.jpg" style="height: 188px; width: 600px;" /></div>
<div align="center">
 http://www.kosanaland.com/shop/images/stories/virtuemart/product/stanley_20-006.jpg</div>
<div align="center">
  </div>
        9. เลื่อยบังตอหรือเลื่อยรอ 
 เหมาะสำหรับงานตัดหัวไม้เพื่อทำเดือยต่อต่าง ๆ 
ด้านสันของใบเลื่อยมีครอบเหล็กแข็ง กันใบเลื่อยบิดตัวขณะเลื่อย 
ทำให้ได้รอยตัดที่มีแนวเที่ยงตรง ใบเลื่อยยาว 8, 14 นิ้ว<br />

<div align="center">
 <img alt="" src="http://www.arkarnsin.com/item/NN01401716.jpg" style="height: 371px; width: 400px;" /></div>
<div align="center">
 http://www.arkarnsin.com/item/NN01401716.jpg</div>
<div align="center">
  </div>
<strong>10. เลื่อยตัดไม้อัด</strong> ใช้สำหรับตัดไม้อัดโดยเฉพาะ 
เนื่องจากมีขนาดฟันที่เล็ก ซึ่งช่วยลดการฉีกขาดของเนื้อไม้ทั้ง 2 ด้าน 
ที่ปลายจะเป็นสันโค้งพร้อมมีฟันเลื่อยอยู่ด้วย 
ใช้สำหรับตัดส่วนอื่นที่ไม่ใช้ขอบของไม้อัดโดยไม่ต้องใช้สว่านเจาะรูนำก่อน
ใบเลื่อย ยาว 11 นิ้ว<br />

<div align="center">
 <img alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiZZSUG-LCCpCxnG2SCDggeYLxWdnA-OjgUDkZxVP6kk_Qjnnha8C9KfyS48gqJ2BAN-70fPuAHKy1ax2UszNOIh5gUMewaD29xOrWktumnIWf24B9-lQybOcDOHhRgmhOf-MVkQEUV-5df/s1600/10%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%94.jpg" style="height: 125px; width: 125px;" /></div>
<div align="center">
 http://2.bp.blogspot.com/.jpg</div>
<div align="center">
  </div>
<strong>11. เลื่อยอก  </strong> เป็นเลื่อยที่ใช้ผ่าไม้ 
โครงเลื่อยส่วนใหญ่จะเป็นไม้ เช่น เลื่อย(รัดเกล้า) อกเลื่อย มือจับ 
ส่วนที่เป็นเหล็กคือสลักและใบเลื่อย ใบเลื่อยมีทั้งตัดและโกรก 
วางทำมุมกับเรือนเลื่อย 30องศาและต้องตรงเสมอ ไม่ปิด<br />

http://board.trekkingthai.com/board/upload/photo/2012-09/a1f161911bbfb33df7fa3e1151739256.jpg<br />

<strong>วิธีการเลือกซื้อเลื่อยให้ตรงกับความต้องการ</strong><br />

http://toolsth.blogspot.com/2012/06/blog-post.html<br />

<strong>ขั้นตอนที่ </strong><strong>1</strong><br />

ควรดูลักษณะการใช้งานของเราก่อนครับ ว่าเหมาะที่จะใช้เลื่อยกับงานประเภทใด
 เช่น ถ้าต้องการตัดงานฝีมือ มีลวดลายคดเคี้ยว 
เราก็ควรที่จะเลือกเลื่อยฉลุหรือเลื่อยหางหนู 
หรือเราต้องการใช้เลื่อยในการเลื่อยไม้ที่มีขนาดใหญ่ เช่นท่อนไม้ 
เราก็ควรใช้เลื่อยโครงเหล็กหรือเลื่อยคันศร<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 2 </strong><br />

ถ้าเรามีความต้องการใช้เลื่อยที่ใช้งานได้กว้างขวาง สำหรับการตัดไม้ทั่ว ๆ
 ไป ควรที่จะเลือกเลื่อยลันดาหรือเลื่อยลอครับ 
ซึ่งสามารถตัดไม้ได้ทั้งแบบขวางเสี้ยนไม้ และตามเสี้ยนไม้<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 3 </strong><br />

การเลือกลักษณะฟันเลื่อย ควรเลือกแบบที่เป็นฟันถี่พอสมควร จะได้ผิวการตัดที่ละเอียด ไม่แตกหยาบ<br />
 <br />

<strong>ขั้นตอนที่ </strong><strong>4 </strong><br />

ขนาดของคันเลื่อย หรือตัวเลื่อย 
ควรจะเลือกขนาดที่มีความเหมาะสมกับการใช้งาน 
ซึ่งเลื่อยมีหลายขนาดโดยหน่วยจะเป็นนิ้ว 
ควรทดลองจับท่าเลื่อยดูว่าเหมาะสมกันหรือไม่<br />

<br />

<strong>วิธีการใช้เลื่อย</strong><br />

เลื่อยมีหลายชนิดดังกล่าวมาแล้ว 
แต่เลื่อยที่มีความสำคัญและใช้กันทั่วไปในงานไม้ก็คือ เลื่อยลันดา 
ซึ่งมีทั้งชนิดผ่าไม้ ตัดไม้  และชนิดฟันเลื่อยหยาบ ฟันเลื่อยละเอียด 
การเลื่อย ผ่าและตัดไม้ทำได้ง่ายกว่าการไสกบ แบ่งได้ดังนี้<br />

<strong>การตัดไม้ </strong><br />

http://www.homedd.com/HomeddWeb/homedd/upload_files/pic_diy/pic_procedure/970465629627_5101-3.gif<br />

1. ใช้ฉาก มาทำการวัดแนวที่จะตัดหรือเลื่อยไม้ แล้วใช้ดินสอขีดเส้นลงบนเนื้อไม้<br />

2. จับเลื่อยด้วยมือที่ถนัด โดยจับที่คันเลื่อย หรือใช้มือจับชิดกับเหล็กหูเลื่อย<br />

3. อย่าเกร็งมือที่ใช้จับเลื่อยและไม่ควรกดน้ำหนักลงบนเลื่อย มือทำหน้าที่บังคับโครงเลื่อยให้อยู่ในสภาพที่ถูกต้องเท่านั้น<br />

4. วางไม้ส่วนที่จะตัดให้ยื่นเลยขอบพื้นที่ใช้รองไม้ ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดจับไม้กดไว้กับพื้นที่ใช้รองอย่าให้เคลื่อนที่ได้<br />

5. 
วางคมเลื่อยลงตรงริมตำแหน่งที่จะตัดไม้ด้านตรงข้ามกับด้านผู้ตัดยืน 
ยื่นหัวแม่มืออีกข้างที่กดไม้ไปวางตรงเส้นดินสอที่ขีดตำแหน่งที่จะเลื่อย 
เพื่อเป็นแนวหรือตำแหน่งที่จะตัด 
หรือทำหน้าที่บังคับให้ใบเลื่อยวางเอียงประมาณ 45-50 องศา<br />

6. ดึงโครงเลื่อยขึ้นข้างบนก่อนเบาๆแล้วจึงดันโครงเลื่อยลงข้างล่าง ดึงคันเลื่อยให้สุดความยาวของใบเลื่อย<br />

7. มือจับคันเลื่อย อยู่ในลักษณะที่หงายมือขึ้น 
กำคันเลื่อยโดยให้นิ้วทั้ง 4 นิ้ว 
อยู่ใต้คันเลื่อยหัวแม่มือวางบังคับอยู่ด้านบน<br />

8. คันเลื่อยเบนออกไปทางด้านขวามือประมาณ 45 องศา  
เพราะใบเลื่อยทำมุม 45 องศากับคันเลื่อย ( มือจับ) 
เพื่อให้ไม้ที่ผ่าลอดเข้าไปในช่องระหว่างใบเลื่อยกับอกเลื่อยได้<br />

9. 
บังคับให้ทุกส่วนของเลื่อยอยู่ในระดับที่คงที่ทั้งแนวตั้งและแนวนอน 
เมื่อไม้เกือบจะขาดออกจากกันให้ละมือที่จีบไม้อยู่นั้นเอื้อมไปจับไม้ส่วน
ที่จะตัดออก ไม่ปล่อยให้ตกลงบนพื้นโดยลำพัง 
ทั้งนี้เพื่อกันไม่ให้ไม้ส่วนที่เลื่อยใกล้ขาดนั้นฉีก 
พร้อมทั้งลดน้ำหนักของเลื่อยลงชะลอความถี่ของการเลื่อยลงช้าๆก่อนไม้ขาดจาก
กัน<br />

10. 
สำหรับการตัดไม้ให้มีขนาดเท่ากันสามารถทำได้โดยวัดขนาดและขีดเส้นแนวการตัด
สำหรับการเลื่อย 
จับชิ้นงานให้ติดกันและวางใบเลื่อยให้อยู่ด้านที่ต้องการตัดทิ้ง<br />

11. 
การเลื่อยฝ่าไม้ตามแนวยาววัดขนาดและตีเส้นแนวการเลื่อยแล้วเลื่อยตามแนวไป
เรื่อยๆ 
ให้นำไม้ลิ่มมาแทรกระหว่างร่องเลื่อยเพื่อไม่ให้ไม้หนีบใบเลื่อยขณะเลื่อย<br />
         12. เวลาเลื่อยให้ใช้แคล้มป์จับยึดชิ้นงานเอาไว้ โดยจับชิ้นงานด้านใน เอาด้านที่ต้องการเลื่อยอยู่ด้านนอก<br />

<br />

<strong>ข้อควรระวัง</strong><br />

การวางเลื่อยให้รอยเลื่อยอยู่ชิดริมเส้นดินสอ 
เมื่อไม้ขาดแล้วเหลือเส้นดินสอไว้ส่วนหนึ่ง 
อย่าตัดโดยวางเลื่อยทับเส้นดินสอ เพราะจะทำให้ไม้สั้นกว่าขนาดที่วัดไว้<br />

<strong>วิธีการจับเลื่อยที่ถูกวิธี</strong><br />

คือ การเลื่อยตามเสี้ยนหรือตามความยาวของไม้ท่อนนั้น ทำได้ 2 ลักษณะด้วยกันคือ<br />

1.ถ้าวางไม้นอนขนานบนพื้นโต๊ะ มีวิธีเลื่อยดังต่อไปนี้<br />

1.1จับเลื่อยในลักษณะเดียวกับการตัดไม้ 
แต่มือจับคันเลื่อยทั้งสองมือ โดยใช้มือซ้ายกำคันเลื่อยบริเวณหูเลื่อย 
คว่ำมือลง มือขวาจับในลักษณะเดิมเหมือนตัดไม้แต่ขยับไปทางด้านอกเลื่อย 
ประมาณกลางมือจับหรือคันเลื่อยระหว่างอกเลื่อยกับหูเลื่อย<br />

1.2 ผู้เลื่อยนั่งทับไม้ส่วนที่ยังเลื่อยไม่ถึงไว้ 
เลื่อยให้ผ่าเริ่มจากหัวไม้ที่วางริมโต๊ะ 
ผู้เลื่อยนั่งในลักษณะปล่อยขาลงข้างโต๊ะ<br />

1.3 ผู้เลื่อยใช้เท้าข้างขวาเหยียบไม้ 
เท้าอีกข้างหนึ่งยืนอยู่บนพื้น 
ในกรณีนี้ไม่ต้องวางอยู่บนม้าสำหรับรองตัดไม้ 
ซึ่งจะมีความสูงจากพื้นถึงที่วางไม้สำหรับตัดสูงประมาณ 60 เซนติเมตร<br />

1.4 ผู้เลื่อยขึ้นนั่ง หรือยืนบนไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ<br />

2.ถ้าเป็นไม้สั้น สามารถวางตั้งแล้วไม้ส่วนที่จะผ่าไม่สูงเกินไป 
ให้ตั้งไม้หันหัวไม้ด้านที่จะผ่าขึ้นใช้ปากกาหัวโต๊ะจับ โดยมีวิธีดังนี้<br />

2.1ให้ตั้งไม้ในแนวดิ่ง หันหัวไม้ข้างที่จะผ่าขึ้น ใช้ปากกาจับหัวไม้ข้างโต๊ะ จับไม้ไว้ให้แน่น<br />

2.2จับเลื่อยสองมือเหมือนผ่าไม้ในลักษณะนอนแต่ความยาวของใบเลื่อยขนานกับ
พื้นความกว้างของใบเลื่อยอยู่ในแนวเดียวกับเส้นที่ขีดไว้เพื่อเป็นแนวสำหรับ
เลื่อย<br />

<br />

<strong>การบากไม้ </strong><br />

คือ การตัดไม้แต่ตัดไม่ขาด เป็นการเลื่อยไม้ให้ลึกลงไปในเนื้อไม้ 
อาจเป็นการบากไม้เพื่อผ่าส่วนหนึ่งทิ้ง 
หรือเป็นการบากเพื่อเจาะสลักเอาไม้ส่วนที่อยู่ระหว่างเส้นที่บากนั้นออกซึ่ง
มีวิธีดังต่อไปนี้<br />

1. การวางเลื่อยลงบนไม้ วางให้คมเลื่อยอยู่นอกเส้นที่ขีดไว้ โดยให้วางชิดริมเส้นที่ขีดไว้<br />

2. 
ลักษณะของเลื่อยวางนอนในตอนแรกด้านมือจับหรือคันเลื่อยสูงกว่าด้านที่วางจรด
อยู่บนริมความกว้างของไม้ที่จะบากเล็กน้อย 
ถ้าเป็นการบากปากไม้เพื่อประกอบกับไม้ชิ้นอื่นให้เอียงคันเลื่อยเข้าหาเส้น
เล็กน้อย<br />

3. 
เมื่อเลื่อยบากลงไปใกล้จะถึงเส้นที่ขีดไว้เพื่อกำหนดความลึกของไม้ที่จะบาก
แล้ว ให้ลดระดับของเลื่อยข้างที่มือจับอยู่ให้อยู่ในแนวราบขนานกับพื้น 
ให้ใบเลื่อยจรดเส้นของขีดทั้งสองข้าง<br />

<br />

<strong>ข้อควรคำนึงในการเลื่อย</strong><br />

1.จับเลื่อยให้มั่น อย่าให้เลื่อยโคลงไปโคลงมาระหว่างดึงเลื่อยเข้าหาตัว และดันเลื่อยออกไปข้างหน้า<br />

2.อย่ากดเลื่อยระหว่างทำการเลื่อย และปล่อยให้น้ำหนักเลื่อยถ่ายลงบนคลองเลื่อยเท่านั้น<br />

3.การตัดหรือผ่าไม้เพื่อนำไปไสแต่ง 
เป็นการตัดหรือผ่าไม้ที่ต้องการเผื่อความยาวและความกว้างของไม้ไว้ให้ตัด
ด้วยเลื่อยฟันหยาบทั้ง 2 ชนิด<br />

4.เมื่อต้องการจะผ่าปากไม้หรือผ่าเดือยไม้เพื่อนำไปประกอบ ให้ใช้เลื่อยละเอียดทั้งสองชนิดเช่นเดียวกัน<br />

5.เลื่อยทั้งสองชนิด คือ เลื่อยสำหรับผ่าและเลื่อยสำหรับตัดไม้ ดังกล่าวข้างต้น<br />

<br />

<strong>เครื่องมือที่ใช้กับเลื่อย</strong><br />

คีมคัดคลองเลื่อย คือ คีมที่ใช้คัดปลายคมเลื่อยให้เบนสลับกันไปมา 
ปลายที่เลื่อยจะเฉียงสลับไปทางด้านตรงกันข้าม 
เลื่อยหลังจากใช้ไปชั่วระยะหนึ่งคลองเลื่อยจะถูกบีบทำให้เกิดความฝืด 
เวลาใช้ต้องคัดคลองเลื่อยโดยหงายฟันเลื่อยขึ้นใส่ปากกาหัวโต๊ะจับให้แน่นนำ
คีมคัดคลองเลื่อยมาปรับความเอนของฟันเลื่อย ตามต้องการแล้วล๊อกให้แน่น 
เริ่มคัดคลองเลื่อยจากซ้ายไปขวาทีละฟัน 
การคัดให้ดูฟันเดิมที่เคยคัดไปแล้วจากซ้ายไปขวา ระวังอย่าหลงฟันเลื่อย 
และควรกดคีมให้สม่ำเสมอ เมื่อเสร็จด้านหนึ่งแล้วก็สลับข้างคัดอีกด้านหนึ่ง<br />

ภาพการใช้คีมคัดคลองเลื่อย<br />

http://www.thaicarpenter.com/images/catalog_pro_1363169400/IMGA0344.jpg<br />

ตะไบสามเหลี่ยม ลำตัวของตะไบมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม 
ใช้ตะไบลับคมใบเลื่อยให้มีความคมอยู่ตลอดเวลาเพื่อใช้งานได้ดี  
การแต่งคมฟันเลื่อย หลังจากคัดคลองแล้วก็นำตะไบ 3 เหลี่ยม 
เลือกขนาดความเอนของฟันเลื่อยให้ตะไบอยู่ในช่องระหว่างฟันเลื่อยพอดี 
มือซ้ายจับปลายกด มือขวาถือด้ามดันตะไบไปข้างหน้าทีละช่อง 
ระวังแรงกดให้มือซ้ายกดอย่างสม่ำเสมอ 
จำนวนครั้งที่ดันต้องเท่ากันทุกช่องฟัน<br />

<div style="text-align: center;">
 <img alt="" src="http://board.trekkingthai.com/board/upload/photo/2010-12/08a082b9697300d94884e74d69d506f5.jpg" style="height: 212px; width: 300px;" />                       </div>
<div align="center">
 ภาพการใช้ตะไบแต่งคอมเลื่อย</div>
<div align="center">
 http://board.trekkingthai.com/board/upload/photo/2010-12/08a082b9697300d94884e74d69d506f5.jpg</div>
<div align="center">
  </div>
<strong>เลื่อยฉลุไฟฟ้า </strong><strong>(Jig Saw or Saber Saw)</strong><br />

https://www.ktw.co.th/ktwimg/IMAGE/PRODUCT/BIG/Makita/BJV180.jpg<br />

เลื่อยไฟฟ้าชนิดนี้เป็นเลื่อยไฟฟ้าที่เราพบเห็นได้ ง่ายที่สุด 
และถือได้ว่เป็นเลื่อยที่ถูกนำมาใช้งานตามบ้านมากที่สุดด้วย 
จนเรียกเลื่อยชนิดนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “เลื่อยเอนกประสงค์” 
อันเนื่องมาจากใช้งานง่ายและมีความคล่องตัวในการใช้งานรวมไปถึงการพกพาที่ 
สะดวกด้วย ลักษณะของเลื่อยชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายเตารีด 
โดยที่ด้ามถือจะมีลักษณะเป็นห่วง 
ทำให้ในขณะใช้งานเราจึงสามารถถือเลื่อยชนิดนี้ ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้ 
ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คอยประคองให้ตัวเลื่อยเคลื่อนที่ไปตามแนวที่เราต้อง 
การตัด 
ภายในของเลื่อยชนิดนี้จะประกอบไปด้วยชุดมอเตอร์และชุดฟันเฟืองที่ทำหน้าที่ 
ในการขยับใบเลื่อยให้ขึ้นและลงเป็นแนวตรงคล้ายกับจักรเย็บผ้า 
ที่บริเวณฐานของเลื่อยบางรุ่นยังสามารถปรับให้เลื่อยเอียงได้ถึง 45 องศา 
เพื่อทำการตัดไม้ในมุมเอียงได้ด้วย<br />

ในการเลือกใช้ใบเลื่อยนั้น จะต้องเลือกให้ถูกต้องกับชนิดของงาน 
เพื่อให้งานที่ออกมานั้นมีความสวยงามและถูกต้อง 
โดยใบเลื่อยที่ใช้ในการตัดไม้จะมีจำนวนฟันประมาณ 3-14 ฟัน ต่อนิ้ว 
ถ้าจำนวนฟันมีความถี่มากจะทำให้เวลา ในการเลื่อยช้า 
แต่ชิ้นงานที่ได้จะมีความเรียบ ฟันเลื่อยแบบนี้จะเหมาะกับไม้เนื้อแข็ง 
ในขณะที่ฟันหยาบ จะใช้เวลาในการเลื่อยนั้นเร็ว 
แต่ชิ้นงานที่ได้จะมีผิวที่ไม่ค่อยเรียบ 
ฟันเลื่อยแบบนี้จะเหมาะกับไม้เนื้อแข็ง 
ส่วนใบเลื่อยตัดเหล็กจะมีจำนวนฟันประมาณ 14-32 ฟันต่อนิ้ว 
โดยในการตัดโลหะนั้นจะต้องให้ฟันเลื่อยอย่างน้อย 2 ซี่ 
สัมผัสกับความหนาของขอบชิ้นงานทุกครั้ง 
มิฉะนั้นอาจจะทำให้รอยตัดที่ออกมานั้นหยาบและใบอาจจะหักในขณะที่ทำการเลื่อย
 ได้ นอกจากใบเลื่อยทั้งสองที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีใบเลื่อยอีกหลายแบบ 
เช่น ใบเลื่อยชุบคาร์ไบด์ เหมาะสำหรับงานตัดชิ้นงานที่เป็นคอนกรีต 
กระเบื้องเซรามิก เหล็ก ไฟเบอร์กลาส และวัสดุอื่นๆ เป็นต้น<br />

<strong>เทคนิคการใช้เครื่องเลื่อยฉลุ</strong><br />

เครื่องเลื่อยฉลุหรือที่เรียกว่าเครื่องเลื่อยจิ๊กซอ 
นั้นมีความสามารถที่ตัดชิ้นงานได้หลายลักษณะ 
ซึ่งจะต้องมีเทคนิคในการใช้งานที่แตกต่างกัน<br />

<strong>ขั้นตอนการใช้</strong><strong>เลื่อยฉลุไฟฟ้า </strong><strong>(Jig Saw or Saber Saw)</strong><br />

<strong>ขั้นตอนที่ 1</strong><br />

ก่อนการใช้งานควรทราบถึงส่วนประกอบและหน้าที่ของเครื่องก่อนมีดังนี้คือ 
ฐานรองใบเลื่อยเป็นตัวบังคับตัวเลื่อยในแนวเดียวกับชิ้นงาน 
สามารถปรับเอียงได้และมีตัวล็อคใบ ตัวเครื่องมีมอเตอร์ภายใน มือจับ 
มีสวิทช์ปิด-เปิดสะดวกในการใช้งาน ใบเลื่อยมีทั้งแบบละเอียดและหยาบ<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 2</strong><br />

ก่อนการใช้งานต้องตรวจสอบใบให้ล็อคแน่นเรียบร้อย 
เครื่องเลื่อยฉลุเหมาะสำหรับการตัดตามแนวเส้นโค้ง เช่น ลวดลายต่างๆ วงกลม 
และสามารถที่จะตัดแนวเส้นตรงได้ด้วยการใช้แนวบังคับการตัด เช่น 
ท่อนไม้ทำเป็นแนวบังคับ 
การตัดทั่วไปควรวางแนบฐานรองใบเลื่อยให้สนิทกับชิ้นงานในขณะตัด 
เพื่อป้องกันใบเลื่อยดีดหักเข้าตาได้<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 3</strong><br />

เมื่อตัดรอบช่องจนขาดหมดแล้ว 
ตัดเข้ามุมโดยดัดด้านใดด้านหนึ่งให้ชนมุมก่อนแล้วยกใบเลื่อยออกและตัดเข้า
มุมนั้นจากอีกด้านหนึ่งให้ชนมุมพอดี เพื่อความสะดวกสำหรับผู้ที่ไม่ชำนาญ 
ในตอนเริ่มต้นควรใช้สว่านเจาะรู ขนาดประมาณ 5 มม. 
ให้ใบเลื่อยลงได้แล้วค่อยตัด<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 4</strong><br />

เทคนิคการตัดขนาดตามแนวขนาน จะใช้ตัวปรับระยะหรือรั้วตั้งความลึกตามนขาดที่ต้องการทาบรั้วที่ด้านข้างชิ้นงานแล้วดันตัดไป<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 5</strong><br />

เทคนิคการตัดโลหะบางๆจะต้องใช้ใบเลื่อยที่มีฟันละเอียด 
หรือฟันเลื่อยแบบที่มีฟันอย่างน้อย 3 ซี่ 
จะสัมผัสกับชิ้นงานเพื่อให้การตัดไม่ทำให้ชิ้นงานเสียหาย 
ความเร็วในการดันเลื่อยตัดจะต้องช้ากว่าการตัดไม้<br />

<span style="color: red;"><strong>คำแนะนำ</strong></span><br />

เนื่องจากเลื่อยจิ๊กซอว์มีความปลอดภัยสูง 
และใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง 
จิ๊กซอว์จึงเป็นเครื่องมืออย่างแรกที่ควรซื้อติดบ้านไว้<br />

<br />

<strong>เลื่อยวงเดือน </strong><strong>(Circular Saw)</strong><br />

http://thaimctools.com/wp-content/uploads/.jpg<br />

เลื่อยชนิดนี้เป็นเลื่อยที่ใช้กับชิ้นงานที่มีขนาด ค่อนข้างจะใหญ่
 และมีกำลังในการตัดชิ้นงานสูง 
โดยส่วนใหญ่แล้วเลื่อยวงเดือนจะมีกำลังงานตั้งแต่ 500-1,500 วัตต์ 
เพื่อให้เหมาะกับงานที่จะใช้ 
ขนาดของตัวเลื่อยจะกำหนดจากขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของใบเลื่อย 
ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 3 3/8-16 5 /16 นิ้ว 
รุ่นที่นิยมใช้มากที่สุดจะเป็นรุ่นขนาด 7 ¼ นิ้ว 
ซึ่งมีความคล่องตัวในการใช้งานมากที่สุด 
ลักษณะภายนอกของตัวเลื่อยจะประกอบไปด้วย<br />

<strong>ใบเลื่อย </strong>(Blade) จะ มีอยู่หลายแบบหลายชนิดด้วยกัน 
ขึ้นอยู่กับงานที่จะนำไปใช้งาน เช่น ใบเลื่อยผสม 
จะใช้สำหรับตัดไม้ทางขวางหรือตามเสี้ยนไม้ 
ใบเลื่อยชนิดนี้จะมีฟันเลื่อยขนาดใหญ่ทำให้ตัดไม่ได้อย่างรวดเร็ว 
แต่ขอบจะมีลักษณะหยาบ,ใบ เลื่อยตัด จะใช้สำหรับตัดขวางแนวเสี้ยนไม้ 
ลักษณะของฟันเลื่อยจะเป็นซี่ละเอียดสลับกับฟันลบมุมคม ทำให้ตัดได้นุ่มนวล 
เหมาะที่จะนำไปตัดไม้อัดและไม้บาง, ใบเลื่อยไส 
จะใช้สำหรับตัดขวางและตัดมุมเอียง,ใบ เลื่อยซอย 
ออกแบบมาสำหรับตัดตามเสี้ยนไม้ได้อย่างรวดเร็ว มีร่องฟันเลื่อยที่ลึก 
จึงทำให้คายเศษชิ้นไม้หรือขี้เลื่อยได้ดี เป็นต้น 
ในการติดตั้งใบเลื่อยจะต้องให้คมของใบเลื่อยหงายขึ้นทุกครั้ง<br />

<strong>ฝาครอบกันใบเลื่อย</strong> (Blade Guard) จะติดตั้งอยู่ 2 ส่วน 
คือ ส่วนบนและส่วนล่าง 
มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะกำลังเลื่อยชิ้นงานอยู่ 
โดยจะป้องกันอันตรายจากใบเลื่อยเองและเศษขี้เลื่อยที่อาจจะกระเด็นไปถูกผู้ 
ปฏิบัติงาน<br />

<strong>คันยกครอบกันใบเลื่อยด้านล่าง </strong>ใช้ในการโยกให้ฝาครอบกันใบเลื่อยด้านล่าง เลื่อนออกมาจากใบเลื่อยเพื่อให้สะดวกในการถอดเปลี่ยนใบเลื่อย<br />

<strong>ฐานเครื่อง</strong> จะมีลักษณะเป็นโลหะชิ้นเดียวกันทั้งแผ่น 
ใช้ในการรองเลื่อยวงเดือนให้วางอยู่บนชิ้นงานที่เราทำการตัดได้อย่างมั่นคง
ตัวล็อกฐาน (Tilt Adjustment) 
ใช้ในการปรับฐานเครื่องกับตัวเลื่อยให้ทำมุมกับชิ้นงาน 
โดยสามารถปรับได้สูงสุด 45 องศา กับตัวชิ้นงาน<br />

<strong>ด้ามจับและไกสวิตซ์ </strong><strong>(Handle and Power Switch</strong>)
 ลักษณะ 
ของด้ามจับจะมีรูปร่างที่สามารถให้มือสอดเข้าไปจับตัวด้ามจับได้ถนัด 
และบริเวณด้านในของด้ามจับจะมีไกสวิตซ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเปิดและปิดการทำ
 งานของเลื่อย โดยถ้าต้องการให้เลื่อยทำงานก็ให้กดสวิตซ์ลง 
แต่ถ้าต้องการหยุดการทำงานก็ให้ปล่อยไกสวิตซ์ 
ในเลื่อยบางรุ่นจะมีปุ่มกดเพิ่มขึ้นมาทางด้านข้างของไกสวิตซ์เมื่อทำการกด 
ปุ่มนี้แล้วไกสวิตซ์ก็จะถูกกดค้างไว้โดยที่เราไม่ต้องทำการกดไกสวิตซ์เลย<br />

<br />

<strong>ขั้นตอนการใช้งาน</strong><strong>เลื่อยวงเดือน </strong><strong>(Circular Saw)</strong><br />

<strong>ขั้นตอนที่ 1</strong><br />

วิธีตัดเจาะภายใน - 
ปรับใบให้ออกมามากที่สุดวางตัวเลื่อยให้ใบอยู่ด้านในเส้นที่ขีดไว้วางตัว
เลื่อยโดยให้ส่วนหน้าเครื่องแนบกับชิ้นงานก่อนแล้วค่อย ๆ กดตัวเครื่องลง 
ดันตัดตามแนวโดยไม่ต้องถึงมุมส่วนมุมใช้เลื่อยมือแต่งมุม 
ให้ระวังมือด้านที่อยู่ใกล้ใบเลื่อยมากที่สุด        <br />

<strong>ขั้นตอนที่ 2</strong><br />

วิธีตัดไม้มุมเอียง - วัดขนาดตามมุมที่ต้องการอาจเป็นฉากที่ปรับมุมได้หรือ
 วัดขนาดโดยไม่มีองศาจับยึดแนวรั้วด้วยแคล้มป์แล้วตัดตามแนวที่ต้องการ      
 <br />

<strong>ขั้นตอนที่ 3</strong><br />

วิธีตัดโดยใช้รั้วเป็นตัวนำ วัดขนาดและขีดเส้นเป็นแนวที่ต้องการตัดไว้ 
วัดระยะจากขอบใบเลื่อยถึงขอบแท่นตัวเลื่อย 
จากนั้นวัดขนาดจากเส้นที่ขีดไว้บวกด้วยระยะของใบเลื่อยถึงขอบแท่น 
วางรั้วเหล็กหรือรั้วไม้ตรงตามแนวจับยึดด้วยแคล้มป์แล้วตัดตามแนว <br />

<strong>ขั้นตอนที่ 4</strong><br />

วิธีตัดไม้ให้มีขนาดยาวเท่ากัน- 
ตอกยึดไม้ที่ตรงเพื่อเป็นตัวชนของไม้ที่จะตัดนำไม้ที่ต้องการตัดมาวางเรียง
กันโดยให้ด้านหนึ่งชนแนวไม้ที่ตอกยึดไว้ขีดเส้นระยะที่ต้องการตัดลบด้วยระยะ
จากใบเลื่อยถึงแท่นเพื่อเป็นแนววางรั้ววางรั้วและยึดแน่นด้วยแคล้มป์ <br />

<br />

<strong>แท่นเลื่อยวงเดือน </strong><strong>(Table Saw)</strong><br />

http://boschpromo.com.ua/resource/products/GTS_10.jpg<br />

<br />

เป็นเลื่อยที่ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายตาม โรงเลื่อยต่าง
 ๆ เพราะเนื่องมาจากสามารถตัดแผ่นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ๆ ได้อย่างสบาย 
และนอกจากนั้นยังสามารถที่จะตัดไม้ให้มีลักษณะต่าง ๆกัน ได้อย่างมากมาย 
เช่น การเซาะร่อง,การตัดทำเดือย,การบากชิ้นงาน,การตัดเฉียง เป็นต้น 
ลักษณะของเลื่อยชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นแท่นตัดผิวเรียบ<br />

ด้านล่างติดตั้งมอเตอร์พร้อมใบเลื่อยวงเดือน 
บริเวณปลายของใบเลื่อยจะโผล่ขึ้นมาจากแท่นตัดโดยที่จะมีฝาครอบกันใบเลื่อย 
คอยป้องกันไม่ให้เศษขี้เลื่อยกระเด็นเข้าตาเราได้ 
ที่ปลายของใบเลื่อยที่โผล่พ้นมากหรือน้อยก็ได้ขึ้นอยู่กับความหนาของไม้ 
นอกจากนั้นใบเลื่อยยังสามารถปรับมุมเอียงได้สูงสุด 45 องศา 
ลักษณะของใบเลื่อยจะใช้เช่นเดียวกับเลื่อยวงเดือน 
ที่บริเวณแท่นตัดจะมีคานบังคับไม้สำหรับยึดไม้ 
เพื่อป้อนไม้ให้เป็นแนวเส้นตรง<br />

<strong>ขั้นตอนการใช้งาน</strong><strong>แท่นเลื่อยวงเดือน </strong><strong>(Table Saw)</strong><br />

<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 1</strong><br />

ก่อนการปรับเปลี่ยนปรับตั้ง ขนาดหรือใบจะต้องมั่นใจว่าเครื่องปิดอยู่เสมอ 
และต้องตรวจสอบดูว่าแคล้มป์ที่ยึดรั้วแน่นหรือไม่และมีวัสดุอะไรขวางทางใบ
เลื่อยหรือไม่       <br />

<strong>ขั้นตอนที่ 2</strong><br />

การยืนควรยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่งของแนวใบเลื่อย 
เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายหากใบเลื่อยหลุดใช้ที่ครอบใบเลื่อยทุกครั้งที่มี
การตัด ใช้ที่ครอบใบเลื่อยทุกครั้งที่มีการตัด   <br />

<strong>ขั้นตอนที่ 3</strong><br />

ห้ามตัดชิ้นงานแบบอิสระโดยไม่มีอะไรยึดเป็นแนวรั้วซึ่งการตัดลักษณะนี้ใบ
เลื่อยที่หมุนตัดอยู่จะขัดกับชิ้นงานและดีดชิ้นงานออกมาโดนผู้ทำงานเป็น
อันตรายได้   <br />

<strong>ขั้นตอนที่ 4</strong><br />

เลือกใช้อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยให้เหมาะสมกับงาน ในกรณีที่ไม่ชำนาญ หรือไม่มั่นใจ       <br />

<strong>ขั้นตอนที่ 5</strong><br />

เมื่อปิดเครื่องแล้วใบเลื่อยยังไม่หยุดห้ามหยุดใบเลื่อยด้วยการนำไม้ไปใส่
หรือมือไปสัมผัสใบเลื่อยห้ามทำความสะอาดแท่นเลื่อยด้วยมือเปล่า 
ควรใช้แปรงปัดหรือลมเป่า       <br />

<span style="color: red;"><strong><em>ข้อควรระวัง </em></strong><em>:
 เนื่อง มาจากเลื่อยวงเดือนมีความสามารถในการตัดชิ้นงานที่สูง 
จึงควรใช้ความระมัดระวังและรอบคอบในการใช้งานทุกครั้ง เช่น 
เมื่อต้องการจะเปลี่ยนใบเลื่อยจะต้องทำการปิดสวิตซ์และถอดปลั๊กไฟก่อนทุก 
ครั้ง,สวมแง่นนิรภัยป้องกันดวงตาและหน้ากากกันฝุ่น พร้อมกับใส่ที่อุดหู 
ในขณะปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันเศษขี้เลื่อยและเสียงของตัวเลื่อย, เป็นต้น</em></span><br />

<br />

<strong>เลื่อยตัดปรับมุม </strong><strong>(Miter Saw) </strong><br />

http://thumbnail.igetcdn.com/resize/.jpg<br />

เลื่อยชนิดนี้เป็นเลื่อยที่สามารถทำการปรับมุมได้ตั้งแต่ 45-90 
องศา ได้คงที่ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องทำการปรับตั้งมุมบ่อย ๆ 
จึงทำให้นิยมนำไปใช้ในการตัดไม้เพื่อทำวงกรอบ,คิ้ว บัวหรือกรอบรูป เป็นต้น<br />

<strong>การใช้งาน</strong><br />

<div style="margin-left: 36.0pt;">
 1.   ศึกษาคู่มือการใช้งาน และปลั๊กไฟต้องไม่เสียบอยู่ ให้ลองขยับและดูการปรับตั้งต่างๆ ของเลื่อยดู</div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 2.   ทำตามคำแนะนำในคู่มือ หาเศษไม้มาเพื่อทดลองตัด 
โดยที่ยังไม่เสียบปลั๊กไฟ คุณต้องเข้าใจก่อนว่าใบเลื่อยจะตัดตรงไหน 
และตัวครอบจะเคลื่อนที่อย่างไร</div>
<div style="margin-left: 36.0pt;">
 3.   ก่อนที่จะเสียบปลั๊ก ต้องดูก่อนว่าฐานถูกยึดหรือขันนอตติดไว้กับโต๊ะแล้ว และต้องดูว่าที่พื้นไม่มีของวางไว้เกะกะ</div>
<br />
ขอบคุณแหล่งที่ วิชาการคอม

การใช้และการเก็บรักษา เครื่องมือประเภทตัด

เครื่องมือในการตัด เครื่องมือใน การตัด วัสดุที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี่มีอยู่มากมายหลากหลายชนิด ... สิ่งสำคัญ ที่ควรใส่ใจ คือ ...

อ่านเพิ่มเติม »

ทักษะการใช้และการเก็บรักษา เครื่องมือประเภทเจาะ

<strong>เครื่องมือเจาะ (</strong><strong>DRILL TOOLS)</strong> เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเจาะชิ้นงานที่เป็นโลหะหรือไม้ เพื่อให้ได้รูตามที่ต้องการ<br />

<strong>วิธีการใช้สว่าน</strong><br />

•  ก่อนเจาะทุกครั้งควรใช้เหล็กตอกนำศูนย์ตรงจุดที่ต้องการเจาะ เพื่อให้ดอกสว่านลงถูกตำแหน่ง<br />

•  ควรจับเครื่องเจาะให้กระชับและตรงจุดที่เจาะ<br />

•  การเจาะต้องออกแรงกดให้สัมพันธ์กับการหมุน เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้<br />

•  ในการเจาะชิ้นงานให้ทะลุทุกประเภทจะต้องมีวัสดุรองรับชิ้นงานเสมอ<br />

•  ควรเลือกใช้ดอกสว่านให้เหมาะสมกับขนาดของชิ้นงาน<br />

•  ไม่ควรใช้ดอกสว่านผิดประเภท เช่น ดอกสว่านเจาะคอนกรีตไม่ควรนำไปเจาะเหล็ก เป็นต้น<br />

<strong>การจัดเก็บและบำรุงรักษา</strong><br />

•  ตรวจสอบตรวจซ่อมสว่านให้มีสภาพการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />

•  ทำความสะอาดหลังการใช้งานทุกครั้ง<br />

•  ก่อนนำไปเก็บให้ชโลมนำมันเครื่องใสทุกครั้ง<br />

<strong>เครื่องมือเจาะในงานไม้</strong><br />

http://เครื่องมือช่างไม้.com/<br />

<strong>1.      สว่าน (Drills)</strong><br />

การเจาะรูเล็ก ๆ เพื่อนำน็อต สกรู หรือตะปูยึดติด 
อาจจะต้องใช้เครื่องมือเจาะรูที่เรียกว่า “สว่าน” สว่านที่ใช้เจาะมีรูปร่าง
ต่าง ๆ กัน แล้วแต่ชนิดของงานที่ใช้ ดังนี้<br />

-  สว่านข้อเสือ<br />

-  สว่านมือ<br />

-  เหล็กหมาดและบิดหล่า<br />

-  เหล็กตอกรู<br />

<strong>-     สว่านข้อเสือ (Brace drills)</strong> ช่างไม้นิยมใช้สว่าน
เจาะรูปช่วยในการทำรูเดือย ส่วนประกอบของสว่านชนิดนี้มี 3 ส่วนคือ 
ส่วนหัว (Head) ส่วนมือจับ (Handle) และที่ปรับดอกสว่าน (Chuck)การใช้งานจะ
หมุนตามเข็มนาฬิกา เพื่อยึดให้แน่น แต่ถ้าจะคลายต้องหมุนไปทางซ้าย 
สามารถใช้งานได้ทั้งแนวราบและแนวตั้ง<br />

http://www.mymarket.in.th/shop_user/homemart/image/.jpg<br />

<strong>-     สว่านมือ (Hand drill)</strong> หรือสว่านเจาะนำ 
การเจาะรูชิ้นงานจะเจาะให้เล็กกว่า ¼” สามารถเจาะได้ทั้งงานเหล็กและงานไม้ 
ลักษณะแตกต่างกับสว่านข้อเสือ 
ส่วนที่ใช้หมุนดอกสว่านเพื่อยึดชิ้นงานจะใช้ส่วนที่เรียกว่า Crank ถ้าใส่
ดอกสว่านไม่ดี ดอกสว่านจะหักง่าย 
สว่านเมื่อสามารถเจาะได้ทั้งแนวราบและแนวตั้ง<br />

https://www.ktw.co.th/ktwimg/IMAGE/PRODUCT/BIG/STANLEY/03-011.jpg<br />

<br />

ก.   เหล็กหมาด (Brad awl) รูปร่างคล้ายไขควงเล็ก ๆ 
ใช้สำหรับเจาะในเวลาที่จะตอกตะปูหรือตะปูเกลียว 
วิธีใช้จะกดลงในเนื้อไม้แล้วบิดซ้ายขวา ไม่ควรใช้กับไม้บาง<br />

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgoKW1G23pUTXlk9LTNwg7_1X_Kw01dbfXAmMnrpxVQWoQiwi5a1hNk22rKB1W4p9EFjJZFMpsA-7zGs1pO1M-NWQHcy6Y9oUIizeH6EpRjN8hLwGVjGCOJPhQ33KRp-yDP446syMgEhi0/s1600/bradawl.jpg<br />

<br />

ข.   บิดหล่า (Gimlet bit) ใช้เจาะรูขนาดเล็ก ๆ ที่ต้องการฝังตะปูควงเข้าไปในเนื้อไม้แข็งมีขนาดตั้งแต่ 1/16” – 3/8”<br />

http://i1092.photobucket.com/albums/i408/John_Winton/gimlet-tool.jpg<br />

<br />

<strong>-    สว่านไฟฟ้า (</strong><strong>ELECTRIC DRILL)</strong> 
เป็นเครื่องมือเจาะแบบเครื่องจักร (MACHINE TOOLS) 
ใช้กำลังขับจากมอเตอร์ไฟฟ้า ใช้ในการเจาะรูในงานโลหะหรืองานไม้ 
ปัจจุบันสว่านไฟฟ้าเป็นที่นิยมและใช้กันมากกว่าสว่านชนิดอื่น ๆ 
เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา ประสิทธิภาพการทำงานสูง<br />

<em>รูปแสดงสว่านไฟฟ้า</em><br />

http://www.สว่านไฟฟ้า.com/upimage/1339692654.jpg<br />

อุปกรณ์ที่ใช้ควบคู่กับกับเครื่องมือที่เจาะรูที่กล่าวมาแล้ว ถือว่ามีความสำคัญในการเจาะรูที่จะขาดเสียไม่ได้ นั่นก็คือ <strong>“ดอกสว่าน”</strong> เพื่อความเข้าใจในเรื่องการเจาะให้มากขึ้นจะขออธิบายถึงดอกสว่านดังนี้<br />

http://www.be2hand.com/upload/201105/201105-16-152605-1.jpg<br />

<br />

1. ดอกสว่านเจาะ (Drill 
bit) ใช้กับงานที่ต้องการคว้านเนื้อไม้ภายในวงกลมออก มี 2 ส่วน คือ 
ส่วนที่เป็นลำตัว และส่วนปลายที่เป็นเกลียว 
ส่วนที่เป็นเกลียวที่ปลายจะแหลมคม เกลียวเล็ก ๆ 
ที่ตอนปลายจะฝังและดูดส่วนอื่นให้เข้าในเนื้อไม้ 
เกลียวจะมีทั้งชนิดหยาบและละเอียด 
ขนาดของดอกสว่านเรียกเป็นเศษส่วน 16 ของนิ้วเสมอ เช่น ขนาด 3/16” 
(ขนาดที่กล่าวมานี้หมายถึงขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางรูที่จะเจาะ) ที่ตอนโคน
เป็นรูปเรียวเหลี่ยม สำหรับจำปายึดแน่น<br />

http://www.toolfix.com.au/images/C/drill%20bits.jpg<br />

<br />

2. ดอกสว่านขยายหัว (Expansive 
bit) ลักษณะหัวสามารถขยายหรือลดลงได้โดยเลื่อนตอนปลายของดอกสว่าน 
ใช้เจาะรูได้ตั้งแต่ 1” ขึ้นไป สามารถเจาะได้ถึง 4” เหมาะกับงานเจาะรูกุญแจ
 และงานท่อน้ำผ่าน (บ้านที่มีฝาเป็นไม้)<br />

https://www.cromwell.co.uk/images/product/KEN/597/KEN5974400K_0.jpg<br />

<br />

3. ดอกสว่านรูลึก (Foerstner bit) ลักษณะที่หัวดอกสว่านเป็นสัน 
มีทั้งที่เป็นเกลียวและไม่เป็นเกลียว 
ซึ่งจะเจาะได้ลึกเป็นพิเศษจนถึงเจาะไม่ได้ ใช้เจาะในงานต่าง ๆ ได้ดี เช่น 
รูกุญแจ หรือเจาะรูช่องลำโพงวิทยุ เป็นต้น 
มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ¼” –2”<br />

http://www.startwoodworking.com/sites/startwoodworking.com/files/uploads/taunton/images/4-Forstner-bit(1).jpg<br />

4. ดอกสว่านเฉพาะงาน (Straight-shank drill) ใช้เจาะรูกลมเล็ก ๆ 
ลักษณะของดอกสว่านมีปีก 2 ข้าง เกสรเป็นเกลียว 
ในแต่ละเกลียวมีร่องสำหรับเก็บเศษไม้ ขนาดที่มีในท้องตลาดตั้งแต่ 1/16” – 
½” (ขนาดจะแบ่งย่อยละเอียดกว่าชนิดอื่น ๆ 
เพื่อการใช้งานเฉพาะ) ใช้สำหรับเจาะรูเพื่ออุดหัวตะปูในงานเข้ามุมของโต๊ะ 
เก้าอี้ วงกบ เป็นต้น<br />

http://www.home2all.com/Photo/YAF/2012/09/18/bbf4ab79-1cc2-43c8-9b96-5d29584c9625.jpg<br />

5. ดอกสว่านอัตโนมัติ (Automatic drill bit) ใช้สำหรับงานเจาะรูเล็ก ๆ 
เช่นเดียวกับข้อ 4 แต่การทำงานจะสะดวกกว่า เมื่อใช้ควบคู่กับไขควงอัตโนมัติ
 คือสามารถใช้มือเพียงข้างเดียว<br />

ทำงานได้<br />

<div align="center">
 <strong>การใช้งานของดอกสว่าน</strong></div>
<br />

เพื่อการเจาะในงานไม้จะทำได้โดยบังคับดอกสว่านด้วยที่บังคับ 
และปรับความลึกตามที่ต้องการ หรืออาจะทำที่บังคับใช้เองก็ได้ 
ดอกสว่านที่นำมาใช้งานต้องเลือกดอกสว่านตามขนาดและชนิดที่เหมาะสมกับงาน 
ทำเครื่องหมายที่จะเจาะ (เครื่องหมาย +) ไว้แล้วตั้งสว่านให้ได้ฉากกับไม้
ที่จะเจาะ เพื่อจะได้แนวตรง ขณะที่เจาะไม้ควรระวังความลึกด้วย 
เพราะบางครั้งอาจไม่ต้องการเจาะทะลุ เมื่อเจาะได้ความลึกที่ต้องการแล้ว 
ให้นำดอกสว่านออกจากรู และเศษผลไม้ต่าง ๆ ออกจากรูให้สะอาดด้วย 
การใช้งานของดอกสว่าน<br />

<br />

<strong>การเลือกใช้ดอกสว่าน </strong> การเจาะรูชิ้นงานที่เป็นโลหะ  เราควรเลือกดอกสว่านที่จะเจาะให้ถูกชนิด และถูกขนาด โดยมีวิธีการเลือกดังนี้<br />

การเลือกชนิดดอกสว่าน  ดอกสว่านมีหลายชนิดเช่น       <br />

1. ดอกสว่านเจาะโลหะ             <br />

- ดอกสว่านแบบ HS  High Speed  ใช้สำหรับเจาะวัตถุเช่น ไม้ พลาสติก             <br />

- ดอกสว่านแบบ HSS  Hih Speed Steel   ใช้สำหรับเจาะเหล็กชนิดต่าง ๆ 
เช่น เหล็กแผ่น เหล็กอ่อน เหล็กเหนียว เหล็กหล่อ มีความแข็งสูงมาก         <br />

2. ดอกสว่านเจาะปูน         <br />

3. ดอกสว่านเจาะไม้         <br />

ดอกสว่านที่ใช้งานจะมีหลายขนาด  การนำไปใช้งานต้องคำนึงถึงความเร็วที่จะใช้เจาะรูด้วย             <br />

ดอกสว่าน <strong> ขนาดเล็ก</strong>    ใช้ความเร็วในการเจาะ  สูง             <br />

ดอกสว่าน <strong> ขนาดใหญ่</strong>  ใช้ความเร็วในการเจาะ  ต่ำ <br />

<strong>วิธีการเลือกซื้อดอกสว่านให้เหมาะสม</strong><br />

<strong>ขั้นตอนที่ 1</strong> ดอกสว่านเจาะรูไม้ 
:ลักษณะปลายดอกคล้ายหางปลากลางดอกเป็นปลายแหลมสำหรับเจาะนำศูนย์ 
 เป็นดอกสว่านที่ใช้สำหรับเจาะรูไม้ที่มีขนาดกว้างไม่มาก 
ใช้เจาะรูสำหรับเดือยลูกบิด บานประตู เจาะร้อยสายไฟในตู้<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 2</strong> ดอกสว่านเจาะรูไม้แบบปรับขนาดได้ 
:ลักษณะปลายดอกเป็นแป้นวงกลมสำหรับใส่ใบฟันตัดส่วนกลางดอกมีเกลียวสว่าน
สำหรับเจาะนำศูนย์ มีขนาดเจาะตั้งแต่ 1 นิ้ว - 2 ½ นิ้ว 
เหมาะสำหรับการเจาะรูไม้ที่มีขนาดกว้างมากๆเช่นเจาะรูสำหรับลูกบิด บานประตู
 รูสวมท่อน้ำในตู้ครัว<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 3</strong> ดอกสว่านเจาะปูน :ลักษณะดอกเป็นเกลียวบิด ส่วนปลายดอกเป็นเหล็กแข็งเพื่อรับแรงกระแทกการใช้งาน เหมาะสำหรับการเจาะปูน เจาะอิฐ<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 4</strong> ดอกสว่านเจาะรูโลหะ : 
ลักษณะปลายดอกวงกลมมีฟันตัดคล้ายเลื่อย ปลายดอกมีเกลียวสว่านสำหรับเจาะนำ 
ศูนย์ ดอกประเภทนี้เหมาะกับการใช้งานสำหรับเจาะ รูโลหะ , 
ใช้เจาะรูสำหรับใส่ก๊อกน้ำของอ่างล้าง จาน<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 5</strong> ดอกสว่านเจาะเหล็ก : 
ลักษณะดอกเป็นเกลียวตัดตล อดดอก ปลายดอกแหลมสำหรับจิกชิ้นงาน 
ซึ่งจะเป็นดอกสว่านที่มีขายทั่วไป เหมาะสำหรับการเจาะโลหะทั่วไปและพลาสติก 
การเจาะเหล็กควรเลือกดอกสว่านที่เป็น High speed steel<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 6</strong> ดอกสว่านเจาะไม้ 
:ลักษณะส่วนปลายดอกสว่านเป็นเกลียวบิด 2 เกลียวส่วนปลายดอกแหลม 
ด้านข้างปลาย ดอกมีครีบแหลม 2 ครีบ สำหรับกรีดไม้กันไม้ฉีกเวลาเจาะ 
การใช้งานสำหรับใช้เจาะไม้โดยเฉพาะ<br />

<strong>ขั้นตอนที่ 7</strong> ดอกสว่านขั้นบันได : 
ลักษณะดอกสว่านเป็นรูปกรวย ขึ้นไป 
ขอบดอกสว่านเป็นหยักขั้นบันไดตามขนาดรูเจาะปลายดอกเจียรเป็นมุมสำหรับการ
เจาะชิ้นงาน 
ในแต่ละขั้นจะมีตัวเลขบอกขนาดรูเจาะที่ด้านในสามารถมองเห็นชัดเจน 
ดอกนี้เหมาะกับการใช้งานสำหรับการเจาะเหล็ก ไม้ สเตนเลส พลาสติก 
-สามารถเจาะรูได้หลายขนาดโดยไม้ต้องเปลี่ยนดอกสว่านบ่อยๆ สามารถลับคมได้ <br />

<strong>2</strong><strong>.   สิ่ว (Chisels)</strong> คือเครื่องมือใน
งานไม้ที่เป็นเหล็ก มีความคม จึงต้องระวังเป็นพิเศษ เมื่อไสไม้ได้ขนาดแล้ว 
งานที่จะทำต่อไปคือการประกอบไม้เข้าด้วยกันโดยการเจาะ 
สิ่วจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานเจาะมากที่สุด 
การแบ่งสิ่วตามลักษณะที่สร้างมาในท้องตลาด แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ<br />

-         สิ่วที่โคนเรียวแหลมฝังเข้าไปในด้าม เรียกว่า Tang<br />

-         สิ่วที่ด้ามฝังเข้าในโคนสิ่ว เป็นท่อเรียวกลวงข้างใน เรียกว่าSocket<br />

แต่ถ้าแบ่งสิ่วตามชนิดและลักษณะของการใช้งาน สามารถแบ่งได้ดังนี้<br />

ก.   สิ่วใบหนา (Firner chisel) สิ่วชนิดนี้จะมีใบที่หนาแข็งแรง 
ใช้งานได้ทั้งหนักและเบาขนาดความกว้างมีตั้งแต่ 1/8” –1” 
(ขนาดสิ่วเรียกตามความกว้าง)<br />

http://i40.tinypic.com/f4451g.jpg<br />

<br />

ข.   สิ่วปากบาง (Paring chisel) สิ่วชนิดนี้ใบจะบางกว่าชนิดแรก 
โดยทั่วไปจะใช้สิ่วนี้เซาะไม้ด้วยมือ ไม่นิยมใช้ตอก 
ตอนริมของใบสิ่วจะเอียงลาดลงไปหาอีกด้านหนึ่ง เพื่อทำงานละเอียด 
มีขนาดตั้งแต่ 1/8” –2”<br />

http://www.craftsmanstudio.com/images_p/C!007PC.jpg<br />

<br />

ค.   สิ่วเข้าโครง (Framing chisel) ตัวสิ่วจะหนักและแข็งแรงมาก 
ใช้ในงานหนัก ๆ เช่น การประกอบโครงเรือ 
สิ่วชนิดนี้จะมีวงแหวนเหล็กที่ด้ามเพื่อกันด้ามแตก<br />

http://www.jimbodetools.com/images/products/165277.jpg<br />

<br />

ง.   สิ่วเดือย (Mortisel chisel) ใช้สำหรับเจาะร่องรับเดือย 
ลักษณะพิเศษคือ ตัวสิ่วตั้งแต่ด้ามลงมาที่ตัวสิ่วจะหนา 
เพราะเวลาเจาะต้องใช้สิ่วงัดเพื่อให้ไม้หลุด 
ซึ่งใช้กำลังมากกว่าสิ่วธรรมดาที่กล่าวมาแล้ว<br />

http://www.thewoodshepherd.com/Chisels/LN%20socket%20mortise%20chisels.jpg<br />

<br />

จ.   สิ่วทำบัวหรือสิ่วเซาะร่อง เป็นสิ่วที่ใช้ทำบัว เซาะร่อง เจาะรูกลม 
หรือแต่งไม้ส่วนที่เป็นโค้ง ใบสิ่วมีลักษณะรูปโค้งเว้า ขนาดใบกว้าง ¼” 
–2” มักเรียกสิ่วชนิดนี้ว่า สิ่วเล็บมือ<br />

http://img.tarad.com/shop/b/bigbossmall/img-lib/spd_20090417142204_b.jpg<br />

<strong>3.  เหล็กตอกรู(</strong><strong>Hollow punch sets)</strong><br />

ลักษณะ ตุ๊ดตู่ ซึ่งเป็นเหล็กกลม มีหลายขนาดปลายแหลมมีรูกลวง 
ใช้ค้อนตอกสำหรับเจาะรู สำหรับวัสดุที่ไม่แข็ง เช่น ทองเหลือง (Brass) 
ทองแดง (Copper) หนัง (Leather) ผ้าใบ (Canvas) และ ประเก็น (Gasket) ในชุด
 มีขนาดรู 6-38 มม. แท่น ช่วยให้เจาะได้สะดวก รูที่ได้จะออกมา เป็นวงกลม 
เรียบ<br />

http://www.thai-material.com/images/All-sizes-of-J2-LaiNam2(1).jpg<br />

<br />

<div align="center">
 <strong>การแต่งคมเครื่องมือ</strong></div>
<br />

เครื่องมืองานช่างไม้ที่ดีควรจะต้องพร้อมที่จะใช้งาน ไม่ว่าจะเรื่องความคม
 การประกอบหรือการใช้ สิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ 
ความคมของเครื่องมือ ซึ่งจะส่งผลให้งานออกมาได้ผลดีตามไปด้วย 
ดังนั้นนักศึกษาจึงควรได้ศึกษาและให้ความสนใจในเรื่องการลับคมของเครื่องมือ
 และสามารถปฏิบัติได้เองพอสมควร เมื่อใดที่นำเครื่องมืองานไม้ไปใช้งาน 
แต่ไม่มีการลับคมเครื่องมือที่ดี งานที่ทำจะยุ่งยากและไม่สะดวก 
การแต่งคมเครื่องมือในงานไม้ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ การใบกบ สิ่ว และดอกสว่าน 
ดังนี้<br />

<span style="color: red;"><strong>ก.</strong><strong>   การลับใบกบ ใบสิ่ว</strong> </span>เมื่อใบกบ ใบสิ่ว ไม่คม หรือบิ่น ต้องแต่งและลับให้ได้รูปร่างเช่นเดิมเพื่อให้การทำงานได้สะดวกและถูกต้อง ควรปฏิบัติการลับคมดังนี้<br />

<strong>ข้อมูลจาก :</strong> 
http://www.homedd.com/HomeddWeb/servlet/homedd.A_home_diy.frontweb.DiyTopic?msn=1&Mytype=1&JobID=00005&ClassID=00023&ItemID=05104<br />

<strong> ขั้นตอนที่ 1</strong><br />

ลับด้วยหินลับ สำหรับสิ่วปากบางทั่วไปที่หน้าคมสิ่วตรง 
การลับโดยการวางสิ่วบนหินลับและดันลับตามทิศทางโดย ออกแรงสม่ำเสมอ 
การลับลักษณะนี้เหมาะกับสิ่วที่มีหน้ากว้าง 1 - 2 นิ้ว<br />

<strong>ขั้นตอนที่ </strong><strong>2</strong><br />

สิ่วโค้งหรือสิ่วทำบัว 
ควรลับในลักษณะให้โค้งไปตามคมสิ่วคือออกแรงดันสิ่วไปข้างหน้าแล้วหมุนคมสิ่ว
ตามไปด้วยอย่างสม่ำเสมอและโค้งด้านในของสิ่วที่ไม่สามารถลับตามแนวราบได้ 
ควรใช้หินลับที่โค้งเข้ารูปกับคมสิ่ว<br />

<strong>ขั้นตอนที่ </strong><strong>3</strong><br />

วางใบกบให้คมตัดแนบกับหินลับตามมุมตัดที่ต้องการ กบล้างมุมตัดประมาณ 45 
องศา กบผิวมุมตัดประมาณ 60 องศา 
ดันใบกบลับกับหินลับโดยออกแรงกดสม่ำเสมอลับคมให้เอียงอีกประมาณ 5 องศา 
เพื่อให้คมอยู่ได้นาน<br />

<strong>ขั้นตอนที่ </strong><strong>4</strong><br />

ลับด้วยแท่นลับ เพื่อให้ได้มุมตัดของคมนั้นตรงตามต้องการ 
ควรใช้แท่นจับใบสิ่วหรือใบกบ ล็อคไว้แล้วลับคมตามปกติ วิธีนี้ควรใช้ 
หินลับที่หน้าหินเรียบตรงไม่โค้งหรืออาจจะทำแท่นเองก็ได้ทำจิ๊กแท่นลับขึ้น
มาหรือแท่นสำเร็จสำหรับการลับคมดันตามปกติ<br />

<br />

<span style="color: red;"><strong>ข.</strong><strong>   การลับคมดอกสว่าน</strong></span> เพื่อให้ดอกสว่านที่ใช้เจาะรูไม้มีความคม และเจาะรูไม้เพื่อทำงานได้ง่าย มีวิธีการปฏิบัติดังนี้คือ<br />

http://eu.lib.kmutt.ac.th/elearning/Courseware/TEN121/chapter7/pic%20chapter7/7.16.jpg<br />

<br />

<strong>การลับดอกสว่าน </strong>มีขั้นตอนการลับดังนี้<br />

http://www.thaicarpenter.com/images/1174312057/drill.jpg<br />

http://sieuthithietbidongnai.com.vn/upload/product/GSM200.jpg<br />

<br />

1. เปิดสวิตช์เครื่องเจียรนัยตั้งโต๊ะ โดยไม่ยืนอยู่หน้าล้อหินโดยตรง 
ต้องยืนอยู่ด้านข้างล้อหินเพราะแรงเหวี่ยงในการเปิดครั้งแรกมีความแรงมาก 
และต้องให้หินเจียระไนหมุนนิ่งก่อนจึงทาการเจียระไนลับคมตัด<br />

2. ใช้มือซ้ายจับบริเวณส่วนปลายของดอกสว่าน 
ส่วนมือขวาประคองอยู่บริเวณส่วนปลายของดอกสว่าน 
โดยที่มือซ้ายวางอยู่บนแท่นรองรับงานหินเจียระไนเมื่อพร้อมจึงเคลื่อนคมตัด
ของดอกสว่านเข้าหาล้อหินเจียระไนอย่างช้าๆ<br />

3. เมื่อมองจากด้านบน ดอกสว่านจะทำมุมกับผิวด้านหน้าของหินเจียระไน 59 องศา (ลับคมทั้ง 2 ข้างให้คมและเท่ากันก่อน)<br />

http://eu.lib.kmutt.ac.th/elearning/Courseware/TEN121/chapter7/pic%20chapter7/7.10.jpg<br />

<br />

4. เคลื่อนดอกสว่านเข้าสัมผัสกับล้อหินเจียระไน 
สังเกตเห็นคมตัดของดอกสว่านถูกลับจนกระทั้งคมดีแล้ว ให้กระดกปลายคมตัดขึ้น 
พร้อมกับหมุนบิดดอกสว่านไปตามเข็มนาฬิกา เพื่อเจียระไนให้เกิดมุมฟรี 8-12 
องศา<br />

http://eu.lib.kmutt.ac.th/elearning/Courseware/TEN121/chapter7/pic%20chapter7/7.11.jpg<br />

<br />

5. เจียระไนดอกสว่านเอียงทำมุมกับหน้าล้อหิน 59 องศา มุมจิก (Cutting 
Angle) เป็นมุมรวมที่ปลายดอกสว่าน 
ซึ่งจะมีขนาดมุมแตกต่างกันตามชนิดของวัสดุที่จะนำมาเจาะ เช่น 
เหล็กเหนียวทั่วไป <strong>จะมีมุมรวม 118 องศา</strong> (ครึ่งหนึ่งเท่ากับ 59 องศา)<br />

6. ค่อย ๆ บิดดอกสว่านให้หมุนพร้อมกับออกแรงกดมากขึ้น จะทำให้ได้มุมฟรีด้านหลังคมตัด ทำเช่นนี้ทั้ง 2 ข้างของคมตัดดอกสว่าน<br />

7. มุมรวมของดอกสว่าน ซึ่งถ้าลับได้มุมที่ถูกต้องความยาวของคมตัดทั้ง 2 ด้านจะต้องเท่ากัน<br />

8. ขณะลับต้องนำดอกสว่านจุ่มน้ำหล่อเย็นบ่อย ๆ เพื่อระบายความร้อน ลับดอกสว่านสลับกันทีละข้าง จนได้ขนาดมุมเท่ากันตามต้องการ<br />

http://eu.lib.kmutt.ac.th/elearning/Courseware/TEN121/chapter7/pic%20chapter7/7.14.jpg<br />

<br />

<span style="color: red;"><strong>ข้อแนะนำ</strong></span><br />

<strong>มุมฟรีหรือมุมหลบหลังคมตัด (</strong><strong>Lip Clearance Angle)</strong><br />

เป็นมุมที่ลาดเอียงจากด้านหลังของคมตัด 
เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวดอกสว่านด้านหลังคมตัดเสียดสีกับงาน 
ซึ่งจะทาให้ดอกสว่านไม่กินงาน มุมฟรีประมาณ 8-12 องศา 
ถ้ามีมุมฟรีมากกว่านี้จะทำให้คมตัดอ่อนและเสียหายได้ง่าย ในการลับคมตัด
ของดอกสว่านที่ใช้งานกันทั่ว ๆ ไป มุมคมตัดของดอก สว่านจะมีค่ามุมเป็น 118 
องศา ครึ่งหนึ่งเท่ากับ 59 องศา เพราะฉะนั้น 
การทาบคมตัดของดอกสว่านจะต้องวางทาบให้ได้มุม 59 
องศากับผิวหน้าของล้อหินเจียระไน 
แล้วจึงกดดอกสว่านพร้อมกับหมุนให้ลับช่วงด้านหลังให้เกิดมุมหลบ 
เพื่อลดการเสียดสีและทำให้เกิดคมตัดขึ้น<br />

<strong>ศึกษาข้อมูลการลับดอกสว่านเพิ่มเติมได้ที่ >>></strong> <strong>http://www.thaibuiltin.com/?page_id=919</strong><br />
<br />
<strong>ที่มา วิชาการคอม </strong>

ทักษะการใช้และการเก็บรักษา เครื่องมือประเภทเจาะ

เครื่องมือเจาะ ( DRILL TOOLS) เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเจาะชิ้นงานที่เป็นโลหะหรือไม้ เพื่อให้ได้รูตามที่ต้องการ วิธีการใช้สว่าน ...

อ่านเพิ่มเติม »

sss

จับเสือมือเปล่า

4 เทคนิคการจับเสือมือเปล่า ในธุรกิจ อีเบย์

การใช้และเก็บรักษาเครื่องมือประเภทอื่น ๆ เครื่องยิงตะปูชนิดใช้ลม

การใช้และการเก็บรักษา เครื่องมือประเภทตัด

ทักษะการใช้และการเก็บรักษา เครื่องมือประเภทเจาะ

Smilepost วันนี้..เราอยากเห็นทุกคนมีรอยยิ้ม

ระวัง.! เตือนภัยใกล้ตัว

เปิดตำนานเรื่องเก่าเล่าใหม่

108พัน9จิปาถะเรื่องราว

สาระความรู้/ทั่วไป/อื่นๆ

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพ

เว็บไซต์-โฮสติ้งท์ฯ

makemany & affiliate

สินค้าและผลิตภัณฑ์

เก็บตกของฝากจากทีมงาน